5 July 2022 – ตั้งแต่ FIN version 4.0 เป็นต้นไป ผู้ใช้ FIN สามารถเลือกกำหนด การคิดต้นทุนของแต่ละ กองทุนที่บันทึกเข้าไปใน portfolio ได้ด้วยตนเองนะครับ (ค่า default ปกติคือ FIFO แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเองตลอดเวลา) เนื้อหาในบทความนี้ จะทำให้เห็นภาพแบบลงตัวอย่างจริง ของการคิดต้นทุนแบบ First-in, First-out (เรียกชื่อย่อว่า FIFO) กับแบบ Weigthed Average (เรียกชื่อย่อว่า WAVG) นะครับ
ก่อนจะลงรายละเอียดตัวอย่างคำนวณจริง จะขอสรุปเนื้อหาแบบสั้นกระชับก่อนเลยฮะ ดังนี้
- การคิดทั้ง 2 วิธีนั้น เป็นวิธีการคิดต้นทุนทางบัญชีตามปกติ ไม่มีวิธีไหน ถูกหรือผิดแต่อย่างไร เป็นแค่วิธีการคิดต้นทุนเท่านั้นครับ เป็นแนวคิดคำนวณที่ใช้ได้กับทรัพย์สินหลายรูปแบบ กองทุนรวมก็เป็นหนึ่งในนั้น
- สไตล์การคิด จะอยู่ที่ตอนการ Sell Transaction ครับ โดยปกติเมื่อทำการขายใดๆ จะทำให้เกิดการคำนวณ Realized Profit/Loss เกิดขึ้น โดยการเทียบว่า ด้วยราคาที่ขายปัจจุบัน เมื่อเทียบกับต้นทุน นั้นกำไร หรือขาดทุน ทีนี้ ต้นทุนจะอยู่ที่จุดใดนั้น จะขึ้นอยู่กับว่า ใช้วิธีไหนคิด ถ้า FIFO ก็จะเทียบต้นทุนกับ Lot เก่าสุดที่ยังเหลือให้ขาย ถ้าเป็น WAVG ก็จะเทียบกับต้นทุนเฉลี่ยกลาง
- FIN version 4.0 เป็นต้นไป ที่จะเปิดให้ update/download ได้บน App Store นั้น ตั้งแต่วันที่ 6 July 2022 เป็นต้นไป ผู้ใช้สามารถเลือกกำหนดได้ครับ ว่า กองทุนไหน ให้คิดต้นทุนวิธีไหน ตามที่ต้องการ กด Download หรือ Update ได้ที่ https://apple.co/2HSKplH
เริ่มต้นด้วยการบันทึก Buy Transaction ของกองทุนสักหนึ่งกองก่อนเลยนะครับ กรณีนี้ขอเลือก K-USXNDQ-A(A) โดยบันทึก Buy Transaction จำนวน 2 รอบ (หรือจะเรียกว่า 2 Lots ก็ได้) ตามรูปด้านล่างนี้

การบันทึกเฉพาะ Buy transactions นั้น การคิดต้นทุน ทั้ง 2 วิธี จะได้ค่าเดียวกันเสมอ นั่นคือ 20.8796 แต่ถ้าเริ่มมี Sell Transaction นั่นจะทำให้ การคิดต้นทุนทั้ง 2 วิธีจะเริ่มได้คนละค่าต้นทุนครับ เดี๋ยวค่อยชี้ให้เห็นตัวอย่าง การคิดต้นทุน ณ ภาพนี้ คือ คิดวิธีการเดียวกันเลยครับ คือ ยอดเงินทั้งหมด 10,000 + 20,000 หารด้วย จำนวนหน่วยทั้งหมด 1,436.8068 หน่วย ออกมาต้นทุนที่ 20.8796 บาทต่อหน่วยลงทุน ตรงไปตรงมา นะครับ ทั้ง WAVG, FIFO จะได้ค่าเดียวกันเสมอครับ
ใน FIN version 4.0 เราสามารถเลือกดู Transaction ที่บันทึกได้ 3 แบบ คือ แบบปกติ ตามรูปด้านบนจะขึ้นทุก transaction ที่บันทึกเข้าไป และ ยังสามารถเลือกดูแบบ Group by Lot หรือ by Year ได้ ซึ่งจริงๆ ก็ทำได้มานานแล้ว แต่ FIN version 4.0 นั้น จะเห็นรายละเอียดมากขึ้น ตามรูปด้านล่างนี้

คือจะเห็น Lot 1 และ Lot 2 พร้อมกับ แท่งสีเขียว เพื่อให้เห็น ปริมาณหน่วยที่เหลืออยู่ใน Lot นั้นๆ นั่นเอง ทีนี้เริ่มบันทึก Sell Transaction ครับ ของวันที่ 6 July 2021 จำนวน 8,000.00 บาท ตามภาพด้านล่าง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ราคาต้นทุนเฉลี่ยของ FIFO กับ WAVG จะเริ่มแตกต่างกันแล้วครับ ตามภาพด้านบน จะเห็นว่า Avg Cost แบบ FIFO มีการเปลี่ยนค่า เป็น 20.8700 จากเดิมที่ 20.8796 ส่วนของการคิดแบบ WAVG จะเป็นไปตามรูปด้านล่าง คือได้ค่า 20.8796 เท่าเดิม นี่คือ จุดแตกต่างนั่นเอง ว่าทุกๆ Sell Transaction ที่คิดแบบ FIFO จะทำให้ Avg Cost ต่อหน่วยของกองทุนนั้นๆ มีค่าเปลี่ยนแปลงไป นั่นเป็นเพราะ FIFO ตามชื่อเลยครับ First-in, First-out เวลาขาย จะขาย Lot เก่าสุดออกไปก่อน (เป็นแนวคิดเดียวกับ ที่ใช้คิดต้นทุนในกองทุน LTF สมัยก่อน) เมื่อ Lot เก่าขายออกไปหมดแล้ว ต้นทุนเฉลี่ยก็จะขยับไปเรื่อยๆ ตาม Lot ที่ยังเหลืออยู่

มาดูรูปแบบการแสดงผลแบบ By Lot กันบ้างของการคิดแบบ WAVG ตามภาพด้านล่างนี้ จะพบว่า แท่งสีเขียว มีการหายไปบางส่วน แต่จะเกิดขึ้นกับทุกๆ Lot ในปริมาณสัดส่วนที่เท่าๆ กัน อันนี้คือ การขายแบบ WAVG ครับ คือการขายนั้น จะขายเทียบกับทุก Lot นั่นเอง (เทียบ Current Value ลบกับ ค่าต้นทุนเฉลี่ยกลางของ ทุก Lot) ทำให้เวลาขาย นั้น ต้นทุนเฉลี่ย ยังคงเป็นค่าคงที่ ตราบใดที่ไม่ได้มี Buy Transaction Lot ใหม่เข้ามาเฉลี่ยเพิ่มเติม

ถ้าเป็นการขายแบบ FIFO จะได้ แท่งเขียวตามรูปด้านล่างนี้ ซึ่งจะเห็นว่า การขายออกที่ 8,000.00 บาท หรือคิดเป็นจำนวนหน่วยลงทุนที่ 288.6356 หน่วยนั้น จะขายออกจาก Lot 1 ก่อน จากเดิม Lot 1 มีจำนวนหน่วยอยู่ที่ 478.0571 หน่วย เมื่อโดนขายออกไป 288.6356 หน่วยจะเหลือหน่วยที่ยังขายต่อได้ที่ 189.4215 หน่วย ถ้าคิดต้นทุนเฉลี่ย ณ จุดเวลานี้ จะคิดได้จาก เอา Remaining Cost ที่เหลืออยู่ของทั้ง 2 Lots นั่นคือ 3,962.32 + 20,000.00 แล้วหารด้วยจำนวนหน่วยที่เหลืออยู่ทั้งหมด คือ 1,148.1712 หน่วย ได้ออกมาที่ 20.8700 นั่นเอง

ก็จะเห็นได้ว่า FIN version 4.0 นั้น สามารถช่วยอธิบายเรื่อง FIFO, WAVG แบบเห็นภาพได้ชัดเจน ด้วย แท่งสีเขียวนี้ครับ ว่าขายที่ Lot ไหนบ้าง น่าจะเป็น app ที่ช่วยทำให้เห็นภาพเรื่องนี้ได้ชัดเจนสุด และ อิงข้อมูลจริงที่บันทึก อธิบายทุกอย่างได้เป๊ะสุดแล้วครับ 🙂
ตัวอย่างต่อไป หากเราต้องการขายต่อโดยบันทึกขายต่ออีก 12,000.00 บาท จำนวนหน่วยที่ 407.5893 แบบตามรูปด้านล่างนี้ หากเป็น FIFO เราจะเห็นว่าค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อหน่วย ขยับไปที่ 20.8605 แล้วครับ ซึ่งถ้าดูดีๆ คือ คือราคาต้นทุนของ Buy Lot 2 นั่นเอง กรณีนี้ Lot ที่ 1 ขายหมดเกลี้ยงไปแล้ว

รูปถัดไปด้านล่างนี้ แสดงผลแบบ By Lot ของ FIFO จะเห็นว่า Lot 1 กลายเป็นสีเทา ขายหมดไปเรียบร้อย ดังนั้นต้นทุนเฉลี่ยของ FIFO ที่จะใช้คือ ใช้ของ Lot ที่เหลืออยู่ ในกรณีนี้คือ Lot 2 ซึ่งต้นทุนอยู่ที่ 20.8605 ค่าเฉลี่ยต้นทุนก็จะเป็นค่าเดียวกัน

มาลองดูแบบ WAVG บ้าง ตามรูปด้านล่างนี้ครับ ต้นทุนเฉลี่ย Avg Cost ก็ยังคงเป็นค่าเดิมคือ 20.8796 และหากดู Group by Lot แท่งสีเขียวนั้น ถึงแม้ว่าเราจะทำ Sell Transaction ไป 2 รอบแล้ว การขาย ก็คือ ขายเทียบกับทุก Lot เหมือนเดิม จะไม่มี Lot ใด Lot หนึ่งขายหมดก่อน เหมือนแบบ FIFO ทุก Lot จะขายไปพร้อมๆ กัน เฉือนออกในสัดส่วนที่พอๆ กัน นั่นเอง วิธีคิดต้นทุนเฉลี่ยยังคงเหมือนเดิมคือ เอา Remaining Cost ของทุก Lot มารวมกัน และ หารด้วยจำนวนหน่วย ดังนี้ (5,154.36 + 10,308.72) / 740.5819 = 20.8796

อ่านถึงจุดนี้ คงจะเห็นภาพอย่างชัดเจนของความแตกต่างระหว่าง การคิดต้นทุนทั้ง 2 วิธีนะครับ และ FIN version 4.0 ก็สามารถช่วยอธิบายให้เห็นภาพเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนภายใน app ตามที่อธิบายไปทั้งหมด นอกเหนือจากค่าต้นทุนเฉลี่ยที่จะคิดต่างกันแล้ว ค่า Realized Profit/Loss ก็จะออกมาแตกต่างกันเช่นกันนะครับ เพราะว่า การเทียบต้นทุนกับ Lot เก่านั้น ทั้ง 2 วิธีจะใช้คนละจุดเทียบกันนั่นเอง
หากต้องการอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FIFO นั้น สามารถดูได้จากบทความเก่าในอดีต ที่ผมเคยเขียนไว้ มาประกอบเพิ่มเติมได้ครับ กดอ่านได้ที่นี่
FIN version 4.0 เป็นต้นไป ที่จะเปิดให้ update/download ได้บน App Store นั้น ตั้งแต่วันที่ 6 July 2022 เป็นต้นไป กดได้ที่ Link นี้ https://apple.co/2HSKplH โดยจะรองรับ iOS 15, iPadOS 15 และ macOS ที่ใช้ Apple Silicon Chip M1, M2 ขึ้นไปนะครับ
หากมีคำถาม ความคิดเห็นใดๆ สามารถเขียนเข้ามาในหน้า Feedback ใน FIN App ได้เลยนะครับ ขอบคุณครับผม :]