Clip: [FIN App] สรุป วิธีดูพอร์ตกองทุนรวมด้วย iOS Widget ได้ทั้งบน iPhone, iPad และ mac แบบไม่ต้องเปิด App

18 Oct 2023 – Video ใหม่ขึ้น Youtube เรียบร้อยครับ เนื้อหาเล่าถึงวิธีการดู พอร์ตกองทุนรวม ด้วย iOS Widget ที่ใช้ได้ทั้งบน iPhone, iPad และ macOS โดยใช้ FIN App กองทุนรวม Mutual Fund ซึ่งนอกเหนือจากการดูทั้งระดับพอร์ตกองทุนแล้ว ยังสามารถดู บางกองที่สนใจในพอร์ตได้ด้วยเช่นกัน รวมถึง ดู Fund Performance ของกองทุนรวมที่สนใจ ได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้สามารถดูได้จากหน้า Home Screen หรือ Today Screen โดยไม่ต้องเปิดเข้าไปดูใน FIN App

Subscribe Youtube ได้ที่ https://www.youtube.com/@finapp.online

มีการสาธิต (Demo)ให้ดูบน iPhone และ บน macOS Sonoma ล่าสุด กับวิธีการใช้ Widgets บน mac Sonoma

แนะนำ Download หรือ Update FIN ให้เป็น Version ล่าสุด ได้ที่ App Store: https://apple.co/400dMWZ

Timeline

0:00 Introduction
0:20 เข้าเรื่อง ว่าจะเล่าเรื่องอะไรบ้าง
0:47 FIN Widgets ดูอะไรได้บ้าง [Portfolio, Fund in Portfolio , Fund Performance]
1:16 ใช้บน Platform ไหนได้บ้าง [iOS, iPadOS, macOS Sonoma]
1:45 ขั้นตอนการใช้งาน ที่จำเป็น
2:10 สาธิต (Demo) การใช้บน iPhone
6:51 สาธิต (Demo) การใช้บน macOS Sonoma
8:50 สรุปปิดท้าย

กองทุนรวม #widget #finance #mutualfunds #apps #investment

วิธีคำนวณผลตอบแทนแบบ Time-Weighted Rate of Return (TWR)

4 July 2022 — เกริ่นนำก่อนนะฮะ FIN พัฒนามาตลอดกว่าหลายปี ก็มีการเพิ่ม feature อะไรต่างๆ พอสมควร และ ล่าสุด ก็เพิ่ม วิธีการคำนวณผลตอบแทน ที่เป็น Industry standard ในแวดวง Finance เข้ามานะครับ คือการคิดผลตอบแทนแบบ TWR (Time-weighted rate of return) ซึ่งปัจจุบัน ค่อนข้างนิยมมากๆ ครับ ในกลุ่ม กองทุนรวมนะฮะ ดังนั้นตั้งแต่ FIN version 4.0 เป็นต้นไป (July 2022) FIN จะมีวิธีการคิดผลตอบแทน Total Return แบบทางเลือกด้วยวิธี TWR ซึ่งในบทความนี้จะอธิบายวิธีการคิดผลตอบแทนแบบนี้โดยมีตัวอย่างให้ดูนะครับ

หรืออาจจะ search Google ด้วย keyword “คิดผลตอบแทน twr” ก็จะเห็นบทความอธิบายเรื่องนี้ อยู่พอสมควรครับ

ซึ่ง TWR เป็น ทางเลือกนึงๆ ในการคิดคำนวณภายใน FIN นะครับ (ซึ่งเป็นทางเลือกที่ นิยมกันมากในโลก Finance) แต่ว่า หาก user รู้สึกว่า ยังไม่เคลียร์หรือกระจ่างชัดจริงๆ หรือไม่ชอบดูตัวเลข TWR นี้ ภายใน FIN จะสามารถให้ user กำหนด ปิดหรือเปิด การแสดงผล ค่า TWR ในหน้า Portfolio ได้ครับ โดยการกดที่ ปุ่ม Manage ที่หน้า Portfolio แล้ว เมื่อเข้าไปแล้ว ก็ scroll ลงมาล่างสุด จะเห็น “ปิดการแสดงผล % TWR ในแต่ละ Asset” ให้ปิด switch ไม่ให้เป็นสีเขียว ก็จบครับ 🙂 FIN จะพยายามรองรับทุกทางเลือก

FIN version เก่า  การคิด %Total Return นั้น จะใช้วิธี แบบ Simple ครับ ซึ่งใช้วิธีคิดแบบง่าย เพื่อให้เข้าใจง่าย แต่ว่าก็เป็นวิธีที่ ไม่ได้คำนึงถึง การเปลี่ยนแปลงของ cost (พวก buy/sell transaction ที่บันทึกเข้าไป) ในช่วงเวลาต่างๆ ในอดีต การคิดจะง่ายและตรงไปตรงมา (แต่ไม่ได้สะท้อน performance ที่แท้จริงของ การลงทุนนั้นๆ)  แต่ใช้งานได้ล่ะครับ เพราะหลายๆ App ก็จะยังใช้วิธีแบบ Simple Total Return แต่ เมื่อมีทางเลือกอื่นอย่าง TWR ซึ่งจัดเป็น วิธีที่นิยมกันมากพอสมควร ก็เลยสร้างมาใน FIN version 4.0 ด้วยครับ

ที่ว่าการคิดง่ายและตรงไปตรงมา คือ   เอาค่า Unrealized PL ปัจจุบัน + Dividend (ถ้ามี และถ้าต้องการนำมารวม) + Realized PL (ถ้ามี และถ้าต้องการนำมารวม) มา sum กันทั้งหมด (เป็นการ Sum ข้ามเวลาจากจุดในอดีตมาถึงปัจจุบัน)   แล้วก้อนนี้ จะหารด้วย   current active cost ทั้งหมด (cost จากอดีต “ที่เหลืออยู่” รวมๆ กันมาจนถึงจุดปัจจุบัน) ในครั้งเดียว   หารกันออกมา ได้ค่า % อันนึง จบ ซึ่ง กรณีที่กองนั้นๆ เรามี transaction ซื้อ/ขาย จำนวนมาก cost ในอดีตมันก็จะหายไปจาก current active cost ด้วยครับ ทำให้การคิด %Return ตรงนี้ พร่องหายไปครับ

ด้วยความที่วิธีนี้ factor หลายอย่างมันพร่องหายไป เพราะ % ที่ได้ นั้น คือ  มันไม่แฟร์ ต่อ  Transaction เก่าๆ ในอดีตฮะ  ถ้า transaction เก่าๆ ในอดีต ทำ % Return ไว้ดีมาก (หรือในทางตรงกันข้าม)  จะถูกกลืนหมดด้วยสูตรการคิดแบบด้านบนครับ

ก่อนจะเข้ายกตัวอย่าง ถึงจุดนี้ ให้ แยกความเข้าใจ ระหว่าง % Return กับ ปริมาณเงิน นะครับ สูตรของ TWR จะเน้นๆ ที่ % Return (ไม่ได้สนใจ ที่ปริมาณเงิน สนใจที่ค่าสัดส่วน) นั่นหมายความว่า ปกติ % Return นั้น จะคิดจากการนำ ตัวเลขปริมาณเงิน A หารด้วย ตัวเลขปริมาณเงิน B เป็นค่าสัดส่วนออกมา จะเห็นว่า การหารกันตรงนี้ ปริมาณเงิน มันจะไม่อยู่ในสมการให้เห็นแล้วนะครับ เป็น % ทั้งหมด (เป็นค่า สัดส่วน)

ยกตัวอย่างนะครับ สมมติ ลงทุนกองทุนนึง เริ่มที่ 1 ล้านบาทถ้วน (Lot 1) ลงทุนวันที่ 1 July 2021

ผ่านไป 6 เดือน (วันที่ 1 Jan 2022) Current Value ของกองนี้อยู่ที่ 1.5 ล้านบาท (%Return ณ จุดเวลานี้คือ 50%)
ซึ่ง ณ จุดนี้ มีการลงทุนเพิ่มอีก 1 ล้านบาทด้วย (Lot 2) ในวันนั้น รวม Current Value จุดนี้คือ 2.5 ล้านบาท

ผ่านไปอีก 6 เดือน ณ วันที่ 1 July 2022 Current Value อยู่ที่ 2.0 ล้านบาท ok หยุดที่จุดเวลานี้ แล้วคิด Return ตามวิธีด้านล่าง

ถ้าคิดด้วยวิธีแบบง่ายคือ เอา Unrealized Profit คือ 0.0 บาท หารด้วย Total Active Cost คือ 2.0 ล้านบาท (เราลงทุน 1 ล้านบาท 2 ครั้ง) % Total Return คือ 0% นะครับ
ซึ่งถามว่า ใช่หรือเปล่า ?

เงินของ Lot 1 ที่เราใส่ไป 1 ล้านบาท เมื่อ 1 ปีที่แล้ว Return ไม่มีเลย? ค่าออกมา 0% ไม่น่าใช่นะครับ Lot นี้ยังไงก็มี %Return ค่าเป็น +  แต่จะโดนกลบด้วยสูตรการคิดแบบด้านบนฮะ 

ถ้าคิดด้วย วิธีของ TWR จากตัวอย่างนี้ คือ Total Return ที่ 20.0% ครับ ดูจาก Online Calculator อันนี้ได้ฮะ
Screenshot: https://bit.ly/twr-online-calculator
Online Calculator: https://www.rateofreturnexpert.com/time-weighted-return-calculator/

ถ้าแสดงวิธีคิดตามสูตร คือ มี 2 sub-period
Period 1:  ช่วงเวลา 1 ล้าน ไปเป็น 1.5 ล้าน   อันนี้ Return คือ  1.5     ( 0.5 / 1.0 ) + 1
Period 2: ช่วงเวลา 2.5 ล้าน เหลือ 2 ล้าน    อันนี้ Return คือ  0.8    ( -0.5 / 2.5 )  + 1 
เมื่อนำเข้าสูตร TWR จะได้ ( 1.5 x 0.8 ) – 1  = 0.2  ( 20% นั่นเองครับ )

อันนี้จะสะท้อน performance ที่แท้จริงออกมาครับ ในมุมของ % Return ที่แท้จริงนะครับ (ต้องแยกให้ออก ระหว่าง % Return กับ ปริมาณเงิน ว่าเป็นคนละแบบ)
คือถ้าดูจริงๆ ให้มองว่า Return ของ ช่วงเวลาแรก นั้นคือ 1.5 จากนั้น ถูกลดทอนลงที่ 0.8 (ของฐาน 1.5) มันเลยออกมาเป็นแนวการคูณกันเพื่อลดทอน %Return ลงไปในสัดส่วน 0.8 (ในเคสนี้นะครับ) มันเลยเหลือที่ 1.2 (หรือ 20% นั่นเอง %Return ที่แท้จริง)

OK มาเริ่มลงรายละเอียดของสูตรวิธีการคิดของ TWR ณ ​จุดนี้

ใจความหลักของเนื้อหานี้ จะอ้างอิงจากบทความที่ Investorpedia – https://www.investopedia.com/terms/t/time-weightedror.asp แต่จะแทนตัวอย่างด้วย กองทุนภายในประเทศไทย เพื่อเป็นตัวอย่างการคำนวณแบบ TWR

วิธีคิดแบบ TWR นั้นค่อนข้างดีในเชิงการคิด Performance ของการลงทุนจริงๆ เพราะ เป็นการคิดผลตอบแทนแบบทบต้น และ ไม่ได้มีการอิงตัวแปรพวก money inflows เงินเข้า หรือ money outflows เงินออก ที่จะส่งผลกระทบต่อค่า Total Return การคำนวณจะเป็นการคำนวณด้วยช่วงเวลาต่างๆ และ ผลตอบแทนเป็นลักษณะการ คูณกันของผลตอบแทนในแต่ละช่วง จากจุดเริ่มต้นยาวไปจนถึงจุดปัจจุบัน สูตรจะเป็นไปในลักษณะของ geometric mean คูณต่อเนื่อง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.investopedia.com/terms/g/geometricmean.asp) แต่สูตรของ TWR จะเป็นไปตามลักษณะดังนี้ (จะไม่ได้เหมือนกับ geometric mean แบบเป๊ะๆ ที่จะมี การถอด root n)

สูตรการคิด TWR: Time-Weighted Rate of Return

หากพิจารณาจากตัวแปรต่างๆ ในสูตรนี้ จะพบว่าสูตรจะสนใจแค่ค่า Return (หรือในสูตรคือค่า HP มาจากการคิดแบบ ปลาย-ต้น หารทั้งหมดด้วยต้น ผลที่ได้ออกมาคือค่า Return ประเภทนึง) ในแต่ละช่วงเวลา และ จำนวนของช่วงเวลา เท่านั้น จะไม่ได้สนใจเรื่องปริมาณของเงินลงทุน (ว่ามีการนำเงินเข้ามาเพิ่ม หรือนำเงินออกไป มากน้อยขนาดไหน) การคิดคำนวณก็จะเป็นไปตามสูตรนี้ ซึ่งมีการคูณกันต่อเนื่องในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้นแล้ว คำนวณด้วย มือแบบ manual ก็ถ้าข้อมูลไม่เยอะมาก อาจจะทำได้ครับ แต่ถ้าเยอะมาก ใช้ FIN คำนวณ น่าจะดีกว่า เพราะ ออกแบบการคิดเรื่องนี้มาโดยเฉพาะ และคิดอย่างละเอียด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ท้ายๆ บทความ

ยกตัวอย่างการคิด TWR ของจริงกับกองทุนรวม สักหนึ่งกองนะครับ เพื่อความง่ายในการคิด จะขอกองที่ไม่ได้มีค่าธรรมเนียมในการซื้อหรือขาย เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการคิดตรงๆ ดังนี้นะครับ สมมติ transaction ต่างๆ ดังนี้

  • วันที่ 4 August 2020 ผมเริ่มเข้าซื้อของกอง B-INNOTECHRMF จำนวนเงิน 1,000,000.00 บาท (1 ล้าน ได้ที่ราคา 14.6287 บาทต่อหน่วย และ จำนวนหน่วยทั้งสิ้น 68,358.7741 หน่วย)

  • หนึ่งปีต่อมา วันที่ 4 August 2021 NAV ของ B-INNOTECHRMF อยู่ที่ 21.2353 นั่นแปลว่า มูลค่า Current Market Value ของกองทุนนี้ที่ผมถืออยู่คือ 21.2353 * 68,358.7741 = 1,451,619.07564573 (1.45 ล้าน)
  • คำนวณ Sub Period ที่ 1 ในกรณีนี้ดังนี้นะครับ (1,451,619.07564573 – 1,000,000.00) / 1,000,000.00 = 0.451619 (หรือ 45.1619%)

  • และในวันนั้นเอง (4 August 2021) ผมซื้อเพิ่มอีก 1,000,000 บาท (ได้ที่ราคา 21.2354 บาทต่อหน่วย จำนวนหน่วย: 47,091.1779 หน่วย) มูลค่า Current Market Value ของวันที่ 4 August 2021 คือ 2,451,614.3657056 (2.45 ล้าน) มาจาก จำนวนหน่วย 115,449.952 คูณด้วย NAV 21.2353

  • จุดปัจจุบัน (อิงจากบทความนี้) B-INNOTECHRMF ค่า NAV วันล่าสุดคือวันที่ 29 June 2022 นั้นค่า NAV คือ 17.7870 Current Market Value คือ 2,053,508.296224

  • คำนวณ Sub Period ที่ 2 ดังนี้นะครับ 2,053,508.296224 – (1,451,619.07564573 + 1,000,000.00) / (1,451,619.07564573 + 1,000,000.00) = -0.162386882765167 (หรือ -16.2386882765167%)

  • จากนั้นคำนวณ TWR ของ Sub Period 2 ช่วงเวลา จนถึงจุดปัจจุบัน 29 June 2022 ได้ดังนี้ ((1+0.451619) * (1-0.162386882765167)) – 1 = 0.215895 (หรือ 21.5895%)

  • ค่า TWR ของกองทุนนี้ ตามรายละเอียดด้านบน คือ +21.5895% ถ้าปัดเศษก็คือ +21.59% ถ้าดูจากหน้าจอของ FIN ของกองทุนนี้ตามรายการที่บันทึกไปด้านบน ก็จะได้เป๊ะ ตามรูปนี้ครับ

ทีนี้มาวิเคราะห์กันต่อ แบบง่ายๆ ไม่ต้อง TWR ให้วุ่นวายหรือซับซ้อน ดูกันที่ NAV ของกองทุนนี้ครับ

NAV ของจุดเริ่มต้นคือ 14.6286 (4 Aug 2020) NAV ของจุดปัจจุบันคือ 17.7870 (29 June 2022) กองนี้ไม่ได้มีปันผล ดังนั้นคิดส่วนต่างกันตามปกติ จะได้ที่ (17.7870 – 14.6286) / 14.6286 = 21.59% เช่นกัน นั่นยืนยันการคิดสูตรของ TWR นั้น ไม่ได้สนใจ ขนาดเงินเข้าหรือออกในการคำนวณ ทุกอย่างอิง Return ในแต่ละ Sub Period และนำมาคูณกันตามสูตร ซึ่งก็จะมี Total Return ที่สอดคล้องตามกองทุนนี้จริงๆ ถ้าดูจาก การเปลี่ยนแปลงของ NAV ของกองทุน

ทั้งหมดนี้คือ การคิดแบบอย่างง่ายนะครับ แต่ในความเป็นจริง กองทุนที่เราซื้อหรือขายนั้นอาจจะมี อีกหลายค่าที่มาเกี่ยวข้อง ที่ทำให้ การคิด Return แต่ละช่วงเวลานั้น ไม่ได้ ง่ายๆ อย่างตามตัวอย่างด้านบน เพราะว่าจะมีเรื่องของ

  • ค่าธรรมเนียมซื้อหรือขาย ของแต่ละ Transaction (ถ้ามี)
  • เงินปันผล (ถ้ามี)
  • ถ้ามีการขายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายโดยนักลงทุน หรือ ระบบการขายแบบ auto-redemption ขายคืนอัตโนมัติ จะมีค่า Realized Profit/Loss เกิดขึ้นที่ต้องนำมาคิดเข้าไปด้วย เพราะค่าเหล่านี้คือค่า กำไรจริง/ขาดทุนจริง ซึ่งค่า Realized Profit/Loss ตรงนี้ ก็จะขึ้นกับ วิธีการคิดต้นทุนที่เราสามารถเลือกด้วยครับ ว่าจะใช้แบบ FIFO หรือ Weight Average ในการคิด

ค่าต่างๆ เหล่านี้ จะใช้คิดตอนที่เราคิด Return ในแต่ละ Sub Period ครับ ว่าต้องบวก ต้องลบ อะไรเข้าไปบ้าง

วิธีการคิดแบบ TWR นี้ จะทำให้เราวัด Performance ของ กองทุนที่เราซื้อขาย ได้ค่อนข้างดีเพราะ TWR สะท้อน performance จริงออกมาครับ เพราะโดยปกติแล้วการลงทุน เราจะเป็นแนวมีการ ซื้อหลายรอบ (หลายช่วงเวลา) หรือ อาจจะขายหลายรอบเช่นกัน (แล้วแต่ลักษณะการลงทุน) นั่นแปลว่า Cost เราจะไม่คงที่ครับ จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การคิด %Return ที่อิงกับ Cost ที่เป็นตัวเลขล่าสุดนั้น จะไม่ใช่วิธีที่ดีครับ เพราะมันไม่ได้สะท้อน Return จริงๆ ออกมา

อย่างกรณีนี้ หากดูว่า Cost คือ 2,000,000.00 (เพราะเราซื้อ ไว้ รอบละ 1 ล้าน จำนวน 2 รอบ) แล้วดู Current Market Value อยู่ที่ 2,053,508.30 แล้วเห็นกำไร +53,508.30 แล้วนำมาหารด้วย Cost 2 ล้าน แล้วจะได้ +2.675% อันนี้ไม่สะท้อน performance ที่แท้จริง เพราะกำไรตรงนี้ มันมาจาก cost 2 ส่วน คนละช่วงเวลากัน

ยกเว้นว่า เราจะลงทุนในกองนั้นๆ แค่ครั้งเดียว แล้วปล่อยยาวๆ ไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม อันนั้น อาจจะคิด Return จาก Cost ได้ตรงไปตรงมา แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ ใช้วิธีแบบ TWR ก็จะ ได้ค่าเดียวกันอยู่ดี นั่นแปลว่า TWR จะใช้คำนวณได้ในหลายกรณีหลากหลาย adaptive, dynamic กว่านั่นเอง

ซึ่ง กระบวนการคิดต่างๆ เหล่านี้ ผมพัฒนาเข้าไปใน FIN version 4.0 เรียบร้อยแล้ว และมีการคิด Sub Period คือ อิงกับ NAV ทุกวันทำการของกองทุนรวมนั้นๆ (คือคิด Sub Period ทุกวันทำการ) แล้วนำมาคิด TWR จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน โดยที่สามารถ plot ออกมาเป็น chart ต่างๆ ตามรูปด้านบน ซึ่งคุณผู้ใช้ สามารถใช้ได้อย่างสะดวกเลยครับ แค่กรอก transaction ต่างๆ ให้ครบถ้วน เดี๋ยว FIN version 4.0 จะคำนวณออกมาให้หมดครับ

และยังมีอีกหลายความสามารถที่ต่อยอดการคิดจากเรื่องนี้ครับ FIN สามารถคิด Total Return ได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับของแต่ละกองทุนที่บันทึกเข้าไป, ระดับของทั้ง Portfolio หรือ ระดับหลาย Portfolio รวมกัน (กำหนด portfolio ได้ว่าจะให้รวม portfolio ใดบ้าง) ทำให้เราเห็นภาพรวมของ Total Return ได้ครบในหลายๆ มิติ และยังนำมาใช้ในอีกหลายๆ ความสามารถของ FIN version 4.0

อ่านถึงจุดนี้แล้ว คุณสามารถโหลด FIN ได้บน Apple App Store https://apple.co/2HSKplH Version 4.0 นั้นรองรับ iOS, iPad OS 15 ขึ้นไป และรวมถึง macOS ที่ใช้ chip Apple Silicon M1, M2 ด้วยครับ คาดการณ์ว่าน่าจะเริ่ม update FIN version 4.0 ได้ตั้งแต่ วันพุธที่ 6 July 2022 เป็นต้นไป

ลองใช้ FIN ใหม่ดูครับ หากมีความคิดเห็นใดๆ สามารถเขียนมาในหน้า Feedback ใน FIN ได้เลยนะครับ
ขอบคุณครับ

วิธีการใช้ FIN Asset Planning เบื้องต้น

20 April 2021 — FIN Asset Planning เป็นความสามารถใหม่ของ FIN App กองทุนรวม ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของความสามารถใหม่นี้คือ FIN Virtual Portfolio (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดของ Virtual Portfolio กด link) เนื้อหาในบทความนี้จะเน้นที่วิธีใช้ FIN Asset Planning ครับ

เนื้อหา Introduction เกี่ยวกับ FIN Asset Planning อ่านได้จาก Link ด้านล่างนี้

https://bit.ly/fin-virtual-portfolio

FIN Asset Planning สามารถเข้าใช้งานได้จากที่หน้า Fund Rank ที่บริเวณ Shortcut ด้านล่าง จะมีปุ่ม Planning (อยู่ถัดจากปุ่ม Trending) หรือเข้าได้จากหน้า Portfolio กดตรงปุ่มซ้ายบนสุดรูป Chart กดแล้ว เลือก Asset Planning นะครับ

เมื่อเข้าไปแล้ว จะเจอหน้าจอตามภาพด้านล่างนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการสร้าง Virtual Portfolio โดยการกดปุ่ม Create New

จากนั้นก็จะเข้าสู่หน้าจอถัดไป ให้ตั้งชื่อ Virtual Portfolio ครับ (ชื่อเหล่านี้ กลับมาแก้ภายหลังได้หมดนะครับ) อย่างภาพตัวอย่างนี้ผมตั้งชื่อว่า “Global View”

เมื่อตั้งชื่อ Virtual Portfolio เสร็จ ให้กดปุ่ม + เพื่อสร้าง Segment ตามคำแนะนำของหน้าจอ (ปุ่มที่อยู่กลางจอ)

จากตัวอย่างด้านบน ผมตั้งชื่อ Segment Name ชื่อว่า Clean Energy จากนั้น เข้าสู่ขั้นตอน เลือก Asset ที่เราบันทึกไว้แล้วภายใน FIN Portfolio ตามปกติ ซึ่งถ้าคุณผู้ใช้มีหลาย Portfolio ก็จะ มีให้เลือก port และ รายชื่อกองทุนต่างๆ ด้านล่าง

จากภาพตัวอย่างด้านบนคือ มี 4 Ports : Main, TAX, Gold Invest, RETIRE นะครับ ซึ่งตอนนี้ผมกดเลือกที่ Main และ เลือกกอง SCBCLEANA มูลค่า 787,353.41 เข้าไปใน Segment “Clean Energy”

การกดปุ่มติ๊กเลือกด้านหน้าของแต่ละกอง จะเป็นการบอก FIN Virtual Portfolio ว่า Segment “Clean Energy” (ตามภาพตัวอย่าง) นี้ ให้ใช้ข้อมูลจากกองทุนไหน มาประกอบเข้าไปใน Segment นี้ๆ บ้าง ก็กำหนดได้ตามอิสระ ตามความต้องการของผู้ใช้ได้ครับ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกได้จากหลาย FIN Portfolios เพื่อมาประกอบ Segment ต่างๆ ได้

การสร้าง Segment ที่ 2 นั้น ก็ให้ กดปุ่มกลางจอ ด้านขวาๆ (ปุ่มรูปสี่เหลี่ยม ที่มีวงกลมอยู่ตรงกลาง) แล้วเลือก Add New Segment ซึ่งภายในนั้นจะมีเมนูย่อยอีกหลายเมนูอยู่เหมือนกัน ค่อยๆ ลองใช้ภายหลังได้ครับ

ภาพด้านบนผมสร้าง Segment ที่ 2 ชื่อ “Healthcare” และ ก็ทำการ เลือก กองทุนใส่เข้าไปใน Segment นี้ตามวิธีเดิม

ถึงจุดนี้ เราจะเห็นแล้วว่า Healthcare นั้น มีสัดส่วน 78.53% เมื่อเทียบกับ Total Asset Current Value ทั้งหมดที่เรากำลังนิยามไว้ใน Virtual Portfolio นี้นะครับ

ในแต่ละ Segment นั้น เราเลือกประเภทได้นะครับ ตรง Asset Type ว่า Segment นั้นจะใช้ข้อมูลจาก FIN Portfolio ซึ่งจัดเป็น Tracking Asset ตามปกติ หรือว่า เราอยากให้ Segment นี้เป็น Asset อื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจาก FIN Portfolio ก็ได้เช่นกัน โดยการกดเลือก Non-Tracking Asset ตามภาพด้านบน

เคสตัวอย่างภาพด้านบนนั้น ผมทดลองสร้าง Segment ที่ชื่อ Crypto เพื่อจะบันทึกว่า ผมมีมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนใน Crypto เท่าไรนะฮะ ลองใส่มูลค่า และ เลือกประเภท ก็จะได้ตามภาพด้านล่าง ทดลองใส่ Bitcoin ที่ 1 ล้านบาทครับ Segment นี้

ด้วยวิธีการนี้เอง ที่จะทำให้เราเห็น Total Asset ของเราได้ครบทุกอย่าง ในภาพรวม เลยฮะ 🙂 ทั้งๆ ที่เป็น Asset ที่ FIN Portfolios มีข้อมูลอยู่แล้ว และ Asset ที่อยู่นอกเหนือจากการ track ของ FIN

เมื่อตั้งค่า Segment ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว หากต้องการ Save เพื่อบันทึก ก็ให้กดปุ่ม Done (ปุ่มขวาบนสุด) เพื่อบันทึกให้เรียบร้อยนะครับ เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ Virtual Portfolio ตามที่เราต้องการ ซึ่งจุดนี้ผู้ใช้มีอิสระในการ จัด Segment ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ เมื่อเสร็จแล้วก็จะกลับมาหน้า หลัก ตามภาพด้านล่างนี้

แต่ถ้ากด Back (ปุ่มซ้ายบนสุด) โดยไม่กด Done มันจะเป็นการ back ทันที ไม่มีการ save ใดๆ นะครับ

หากต้องการเข้าสู่หน้า Edit เพื่อแก้ไข Segment หรือ การเชื่อมโยง Asset ใดๆ ของ Virtual Portfolio ที่สร้างไปแล้ว ให้กดที่ปุ่ม วงกลม ที่มีจุดสามจุด อยู่ในวงกลมนะครับ (…) แล้วเลือก Edit ก็จะเข้าสู่หน้า เหมือนตอนสร้าง Virtual Portfolio อีกครั้ง

จุดสำคัญคือ หากต้องการแก้ที่ Segment ใดนั้น ให้เลือก Segment (ใต้ Pie Chart) ก่อนทุกครั้งนะครับ จากนั้น ค่อยปรับแก้ค่าต่างๆ ที่ต้องการที่อยู่ภายใน Segment นั้นๆ อีกที ตามรูปด้านล่างนี้ คือ ผมกำลังเลือกของ Healthcare นะครับ จะขึ้นเป็นแทบสีส้มเข้ม (ในเคสนี้)

สุดท้ายจะมีเรื่องของ Note เพื่อจดแผนการลงทุน หรือ แผนการณ์ต่างๆ ไอเดียต่างๆ ของแต่ละ Virtual Portfolio สามารถกดได้ที่ปุ่ม ข้างๆ ปุ่ม Done (หรือปุ่มข้างๆ ปุ่ม Close) ที่อยู่ด้านขวาบน ของหน้าจอในกลุ่ม Asset Planning ครับ ก็จะเข้าถึง Note เดียวกันจากทุกหน้าจอ เพื่อให้จดแผนได้อย่างสะดวกตลอดทุกหน้าจอนะครับ ณ เวลานี้ยังคงจำกัดความยาวของ Note ที่ 5000 ตัวอักษร

โดยรวมการใช้งานก็จะประมาณนี้ หากมีคำถามใดๆ สามารถติดต่อมาได้ตามช่องทางปกตินะครับ ทั้ง Email และ Facebook สามารถดูช่องทางติดต่อได้ที่ FIN > หน้า More > Contact FIN

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FIN Asset Planning
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FIN Virtual Portfolio

FIN Virtual Portfolio

20 April 2021 — FIN มีแนวคิดของ Portfolio แบบใหม่ ที่ใช้งานร่วมกับ Portfolio แบบปกติ ซึ่งแนวคิดใหม่นั้น ผมเรียกว่า Virtual Portfolio เนื้อหาภายในบทความนี้ จะอธิบายถึงความสามารถ คุณลักษณะของ FIN Virtual Portfolio แบบกระชับครับ

ย้อนกลับไปในปี 2015 ที่ FIN App ขึ้น Apple App Store version แรกสุดนั้น FIN รองรับ 1 portfolio ที่ให้ผู้ใช้สามารถบันทึก transaction ต่างๆ ของกองทุนต่างๆ ของตนเอง เข้าไปภายใน FIN Portfolio เพื่อที่จะเห็น ภาพรวมทั้งหมดของตนเองได้ จากนั้น ก็เริ่มมีความต้องการ ที่เฉพาะมากขึ้น ที่ต้องการให้ FIN รองรับมากกว่า 1 portfolio ผมเลยพัฒนาออกมาให้รองรับการบันทึก transaction มากกว่า 1 portfolio เรียกว่า Multiple Portfolios

และแนวคิดใหม่ล่าสุดที่ break ข้อจำกัดเดิม ก็ออกมากับ FIN version 3.61 นั่นคือ FIN Virtual Portfolio นั่นเอง

วิธีอธิบายเรื่องนี้ได้ง่ายสุด น่าจะเป็นภาพ diagram แนวคิดนะครับ ภาพด้านล่างคือ FIN Multiple Portfolios ครับ

หากเคยใช้ FIN Multiple Portfolios อยู่แล้ว ก็จะรู้ลักษณะการทำงานอยู่แล้วครับ ว่า แต่ละ port นั้นแยกอิสระต่อกัน การบันทึกกองทุนเข้า port ใด port หนึ่งจะไม่มี impact ต่ออีก port นึง นี่คือคุณลักษณะปัจจุบันของ FIN Multiple Portfolios

FIN Virtual Portfolio จะเป็นไปตามภาพด้านล่างนี้

นั่นคือ เราสามารถสร้าง Virtual Portfolio โดย อิงข้อมูลจาก FIN Portfolio แบบปกติได้ โดยไม่ต้องกรอก transaction ใดๆ ใหม่ๆ แค่เชื่อมโยงเข้าไปใน Virtual Portfolio ตามที่ต้องการ ซึ่งจุดนี้ คุณผู้ใช้มีอิสรภาพสูงสุด ในการเลือกสร้าง Virtual Portfolio ของตนเอง ครับ ว่าจะให้นำ Asset จาก Portfolio ใด มาประกอบเข้าไปบ้าง

FIN Virtual Portfolio จะมี การแบ่งกลุ่มภายในด้วยแนวคิดของ Segment ครับ ซึ่งคุณผู้ใช้ก็กำหนดเองได้หมดเช่นกัน ว่าจะแบ่งเป็นกี่ Segment และ แต่ละ Segment จะนำ Asset จาก FIN Multiple Portfolios ใดบ้าง มาประกอบ สร้างสรรค์ได้ตามที่ตนเองต้องการ ซึ่งการเลือก Assets ต่างๆ ที่บันทึกไว้อยู่แล้วมาประกอบนั้น ผมจะขอเรียกว่า Tracking Asset นะครับ คือ Asset ที่มีมูลค่าปรับเปลี่ยนรายวัน ตามค่า NAV ของกองทุน (ของ Asset นั้นๆ) ค่าเหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงและ auto-update โดยอัตโนมัติทุกวันทำการ ตามปกติ

และนอกเหนือไปจากนั้น FIN Virtual Portfolio ยังรองรับ Non-Tracking Asset ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือ ผู้ใช้สามารถสร้าง Non-Tracking Asset ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบสินทรัพย์อื่นๆ ที่ FIN ไม่ได้รองรับ การ track มูลค่าต่างๆ ให้อัตโนมัติครับ เช่น เงินสด, หุ้นไทย, หุ้นต่างประเทศ, Crypto, Bond หรือ อื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน แต่ชื่อ Non-Tracking Asset อันนี้ก็ชัดเจนในตัวนะครับ ว่า คุณผู้ใช้จะต้อง ใส่ค่า มูลค่าทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้ ด้วยตนเอง ระบบจะไม่ได้ Tracking ให้อัตโนมัติ ณ เวลานี้ (ในอนาคตไม่แน่ :D)

แนวคิดของ FIN Virtual Portfolio ในขั้นต้นจะถูกนำมาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักใน FIN Version 3.61 ล่าสุด ที่มี Feature Asset Planning ครับ โดยผู้ใช้สามารถสร้าง Virtual Portfolio ได้หลากหลายตามความต้องการ เพื่อให้เห็นมุมมองของ Asset Allocation และ Performance Impact ภายใน FIN Asset Planning feature ใหม่ นั่นเอง ส่วนในอนาคต FIN Virtual Portfolio ก็จะถูกนำไปใช้ในจุดอื่นๆ ต่อไปภายใน FIN ด้วยเช่นกัน รอติดตามกันต่อไปในอนาคต

หากมีคำถามใดๆ สามารถเขียนมาได้ทาง หน้า Feedback ใน FIN App หรือไม่ก็ทางอีเมล หรือทาง Facebook (กดเข้าไปใน FIN > More > Contact FIN ครับ)

Download FIN App ได้ที่ : https://apple.co/2HSKplH

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ความสามารถใหม่ FIN Asset Planning
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการใช้ FIN Asset Planning

เกี่ยวกับความสามารถใหม่ FIN Asset Planning

19 April 2021 — FIN Version 3.61 ล่าสุดที่กำลังจะขึ้น Apple App Store ในอีกไม่กี่วันจากนี้ มีความสามารถใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนใน FIN นั่นคือ Asset Planning โดย Feature ใหม่นี้ ทำอะไรได้บ้างนั้น ติดตามอ่านได้จากเนื้อหาของบทความนี้นะครับ 🙂

วัตถุประสงค์ของ Asset Planning คือ มีไว้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเห็นภาพรวม Total Asset ของตนเอง ได้ในมุมมองต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการจะมองเห็นครับ นั่นหมายความว่า คุณผู้ใช้สามารถแบ่งกลุ่ม Asset ต่างๆ ของตนเองในมุมมองที่ต้องการผ่าน FIN ได้ และ FIN Asset Planning จะคำนวณ และ plot chart ต่างๆ ออกมา ตามกลุ่มของ Asset ที่ผู้ใช้เป็นคนแบ่งด้วยตนเอง ซึ่งทำได้หลากหลายความต้องการ และ มุมมอง กำหนดได้ตนเอง แบบอิสระครับ

ยกตัวอย่างด้วยภาพ screenshot ด้านล่างนี้ครับ เป็นการสร้างมุมมองโดยแบ่ง Segment ของ Asset ต่างๆ ของเราเอง ให้เป็นไปตาม ประเภทของ Asset ที่เรากำหนดขึ้นมาเอง จะเห็นว่า ผมลองกำหนดให้แบ่งเป็น Tech, Healthcare, Property และ ยังมีแบ่งเป็น Crypto Token หรือ Cash ก็ได้ด้วยเช่นกัน

ภาพรวมของ Total Asset ในมุมมองของแบ่งตามประเภทของ Asset

หรือ หากต้องการ zoom เจาะลึกเข้าไปว่าภายใน Segment นั้นๆ มี Asset ใดบ้าง ก็ใช้นิ้วแตะเข้าไปในแต่ละ Segment ที่อยู่ในตารางครับ จะเห็น ภาพตาม screenshot ด้านล่างนี้

ภาพ zoom เจาะเข้าไปใน Segment “Tech” ว่าประกอบไปด้วย Asset ใดบ้าง

จากภาพด้านบนเป็นมุมมองการ zoom เข้าไปดู Segment “Tech” นั่นเอง ซึ่ง ผลรวมของ Tech นั้นคิดเป็น 35.97% ของทั้งหมด โดยภายในนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 Assets ย่อย นั่นคือ B-INNOTECHRMF ที่ 19.17% และ K-USXNDQ-A(D) ที่ 16.80%

ถ้าเราดูที่ Chart อย่างเดียว เราก็จะเห็นทั้ง 2 มิติครับ

มิติแรกคือ ที่ระดับของ Segment (สีเขียวมะนาว) ว่า Segment “Tech” นี้ คิดเป็น 35.97%

มิติสองคือ ที่ระดับของ Asset ว่าภายใน Segment นี้ๆ มี Asset ใดบ้าง เคสนี้คือ 2 กองทุน นั่นเอง เราก็จะเห็นทันทีเช่นกัน ว่า 2 กองทุนนี้ ถ้าวัดขนาดแล้ว คิดเป็นที่กี่ %

นอกจากนี้ ในหน้าจอนี้เอง ก็ยังมีการแสดงผล % ของระดับ Segment ด้วย ว่า B-INNOTECHRMF นั้น ถ้าคิดเป็น % ที่ระดับ Segment “Tech” นั้นๆ คิดเป็น 53.30% ส่วน K-USXNDQ-A(D) คิดเป็น 46.70% ภายใน Segment นั้นๆ ข้อมูลครบครันเลยทีเดียวครับ ทั้ง 2 มิติ

คุณผู้ใช้สามารถสร้างมุมมองได้หลายแบบนะครับ โดยสร้างสิ่งที่เรียกว่า Virtual Portfolio (อ่านแนวคิดของ Virtual Portfolio) และแบ่ง Segment ต่างๆ ภายในนั้น ตามแต่ความต้องการของคุณผู้ใช้แต่ละคนได้เลยครับ อิสระ คล่องตัว และ ยืดหยุ่น ที่จะกำหนดนิยามต่างๆ ของตนเองได้ คือ แนวคิดหลักของ FIN version ล่าสุด อย่างภาพตัวอย่างด้านล่าง ผมลองสร้าง Virtual Portfolio อีกอันหนึ่ง โดยแบ่งมุมมองในมุมของ Geographic Region ของ asset ที่เราไปลงทุน

ที่สำคัญสุดคือ Virtual Portfolio นั้น เราสามารถเลือก assets ที่เราบันทึกไว้ใน Portfolio ต่างๆ ใน FIN ได้ และ นำมา cross กันได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผมสามารถสร้าง Virtual Portfolio ที่เลือก กองทุนที่ผมบันทึกไว้ใน Portfolio A และ Portfolio B มาผสมกันใน Segment ของ Virtual Portfolio นี้ได้ เพื่อหาสัดส่วนต่างๆ นานา สิ่งที่จะเห็นคือ ภาพรวมของ Asset เราทั้งหมดนั่นเอง 😀

และแน่นอนครับ FIN Asset Planning นั้นไม่ได้มีแค่มุมมองของ %Allocation วัดมูลค่าของทรัพย์สินในเชิงสัดส่วนอย่างเดียว ยังมีในมุมของ Performance ให้ดูด้วยเช่นกัน ที่ปุ่มซ้ายด้านบน ให้กดปุ่มที่ 2 ที่เป็นรูปวงกลมเล็กๆ 4 วง เพื่อเข้าดูในมุมมองของ Performance จะเห็นภาพตามตัวอย่าง screenshot นี้

ภาพที่แสดง Performance ของ Asset ในแต่ละ Segment ต่างๆ

Chart นี้คือ Bubble Chart ครับ จะแสดงข้อมูลใน 3 มุม (3 มิติ) พร้อมกัน

มิติแรก: แกนแนวนอน แกน X: คือ จะทำให้เห็นว่า วงนั้นๆ มี Current Cost ปัจจุบัน อยู่ที่เท่าไร

มิติสอง: แกนแนวตั้ง แกน Y: แสดง Unrealized Profit /Loss กำไรขาดทุน ณ ปัจจุบันของ Asset นั้นๆ

มิติสาม: ขนาดของวงกลม ว่าวงใหญ่หรือวงเล็กนั้น แสดงถึง ขนาดของทรัพย์สินครับ โดยค่าที่แสดงคือ Current Value วงยิ่งใหญ่ คือ วงที่เรามี Current Value ของ asset นั้นๆ ใหญ่ครับ อย่างเคสตัวอย่างด้านบนคือ เรามีเงินลงทุน (+กำไร Unrealized Profit) ใน Segment “Tech” อยู่ที่ 3.5 ล้านบาท วงใหญ่สุด ตามมาด้วย Segment “Healthcare” สีส้ม ที่ 2.88 ล้าน

ดังนั้น ความหมายของ Bubble Chart นี้ วงกลมต่างๆ อยู่ตรงไหนมีความหมายอย่างไร ? แน่นอนว่า ยิ่งวงใหญ่ และ ยิ่งอยู่สูง ไปด้านบนขวาๆ นั่นคือ Asset ที่ performance impact สูงสุดนั่นเอง เราก็จะเห็นได้แบบเร็วๆ ครับ ว่า Segment ไหนเรา performance แรงและดี อย่างภาพตัวอย่างนี้คือ สีเขียว (Tech) และ สีส้ม (Healthcare) นั่นเอง

คือถ้าดูข้อมูลแบบละเอียดที่ Healthcare เราจะเห็นว่า %Unrealized Profit นั้น อยู่ที่ +91.51% ตัวเลขสูงครับ ในขณะที่ Tech นั้นอยู่ที่ +78.59% ซึ่งก็น้อยกว่า Healthcare ถ้าดู % เราก็จะเห็นว่า % Unrealized Profit ของ Healthcare นั้นทำได้ดีกว่าของ Tech แต่ในเชิง Impact นั้นแตกต่างกัน พอดูเป็น Bubble Chart 3 มิติแบบนี้ ก็จะเห็นชัดเลยฮะว่า อย่ายึดติดกับตัวเลข % Unrealized Profit ให้ดูที่ Impact โดยรวมน่าจะดีกว่า

ยกตัวอย่างนะครับ สมมติผม ลงทุนเข้าหุ้นตัวนึง (หุ้น A) 10,000 บาท แล้วหุ้นตัวนั้น กำไรพุ่งมากๆ หากคิดเป็น % เราจะเห็นเลยว่า +800% ครับ เราอาจจะรู้สึกว่า performance สูงมากๆ ซึ่งจริงๆ ก็สูงครับ หากมองเฉพาะใน Asset ตัวนั้นตัวเดียว แต่ถ้าตีเป็นตัวเงิน ก็จะเห็นว่า มูลค่าทั้งหมดอยู่ที่ 90,000 บาท (10,000 ต้นทุน อีก 80,000 นั้นคือ กำไร)

และผมลงทุนหุ้นอีกตัวนึง (หุ้น B) 1,000,000 บาท หุ้นตัวนั้น กำไรออกมา ในเวลาเดียวกัน อยู่ที่ +40% มูลค่าทั้งหมดอยู่ที่ 1,400,000 บาท (1,000,000 ต้นทุน อีก 400,000 คือกำไร) จะเห็นว่า หุ้น B มี impact กว่าเยอะมาก ต่อมูลค่าทรัพย์สินโดยรวมของเรา

ก็เป็นมุมมองที่โดยส่วนตัวผมอยากมองครับ เลยทำออกมาในรูปแบบๆ นี้ ณ เวลานี้ (อนาคต อาจจะเปลี่ยนแปลงได้) จะไม่ใช้ % Unrealized Profit มาเป็นตัว plot chart นะครับ แต่จะแสดงผลในตารางด้านล่างของ chart แทน

และเหมือนเดิมครับ สามารถดูภาพ zoom ย่อยเข้าไปได้ โดยการเอานิ้วแตะที่แต่ละ Segment ในตาราง ก็จะเข้าไปดู Performance Chart แบบนี้ แต่เป็นที่ระดับ Asset ครับ

นอกจากมองเห็นภาพรวมแล้ว ยังมีความสามารถในการ Plan Projection ค่าประมาณการการเติบโต (หรือถดถอย) ของ asset ต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน เพื่อ Simulation ออกมาดูว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าต่างๆ ไปในทิศทางที่ลองปรับค่าดูนั้น ผลรวมและสัดส่วนต่างๆ จะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ลองกดดูที่ ปุ่ม Plan ดูนะครับ ที่อยู่ด้านล่างใต้ Donut Chart

บทความนี้ น่าจะอธิบายถึงความสามารถใหม่ของ FIN Asset Planning ได้เพียงพอแล้วในระดับ Overview เบื้องต้น ส่วนวิธีการใช้งาน วิธีสร้าง Virtual Portfolio หรือ Segment หรือใดๆ นั้น คุณผู้ใช้สามารถดูเพิ่มเติมได้จาก Link ด้านล่างนี้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FIN Virtual Portfolio
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการใช้ FIN Asset Planning

หากมีคำถามใดๆ สามารถเขียนมาได้ในช่องทางติดต่อ 2 ช่องทางนะครับ ทั้งทาง Email และ Facebook ดูช่องทางติดต่อได้ที่ใน FIN App > More > Contact FIN

ขอบคุณครับผม

รู้จัก Fund Compare Feature ที่สำคัญของ FIN App

อย่างที่ทราบกันดีครับว่า FIN App มีข้อมูลกองทุนอยู่จำนวนมาก หลากหลายมิติ และ หลากหลายประเภทข้อมูลครับ Feature “Fund Compare” จะเป็นความสามารถที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ เพื่อให้ทำการเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านั้นได้ ง่าย สะดวก และ รวดเร็ว ในบทความนี้จะนำภาพตัวอย่าง และ วิธีใช้งานของความสามารถนี้มาแชร์ให้เห็นกันครับผม

หากผู้ใช้ upgrade FIN เป็น version 3.8 ล่าสุด  จะเห็นหน้าจอของหน้า Fund Rank ตามรูปด้านล่าง ซึ่งจะมีปุ่มสีส้มอยู่ที่มุมด้านขวาด้านล่าง  ปุ่มนี้เป็นความสามารถใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา เพื่อช่วยทำเรื่อง Fund Compare ให้สะดวกขึ้นอย่างมาก

IMG_9750.PNG

เมื่อกดปุ่มสีส้มแล้ว ผู้ใช้สามารถที่จะเลือก กองทุนใดๆ ก็ได้ ที่อยู่ในหน้า Fund Rank หน้านี้ โดยสามารถเลือก ประเภท และ ช่วงเวลาย้อนหลังต่างๆ ได้หมดนะครับ เลือกได้อย่างเต็มรูปแบบและอิสระ และ เมื่อพอใจแล้ว ก็ที่ปุ่มสีส้มนี้ จะนับจำนวนกองทุนที่เลือกไว้ครับ (ภาพตัวอย่างนี้คือเลือกไป 6 กองทุน) กดเข้าไปอีกรอบจะขึ้นเมนูถามเพิ่มเติม

IMG_9738.PNG

เมื่อเจอขึ้นถามก็จะมี 3 เมนูย่อยครับ เมนูบนสุดคือ เลือกเพื่อสั่งให้เปิด Fund Compare ส่วนเมนูถัดมาคือให้ Reset การเลือกกองทุนก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเลือกใหม่ หรือ ไม่เลือกแล้วก็ตาม (ล้างตระกร้ากองทุนที่เลือกไว้)  และเมนูสุดท้ายคือ ปิดหน้าจอนี้ไปก่อน เพราะยังอยากเลือกกองทุนอื่นๆ เพิ่มเติม

IMG_9739.PNG

เมื่อเข้าหน้า Fund Compare ก็จะมีหน้าจอตัวอย่างตามภาพด้านล่างนี้ครับ  โดยความสามารถ Fund Compare นั้น สามารถ เปรียบเทียบข้อมูลกองทุนต่างๆ ได้ใน 3 โหมดใหญ่ๆ

  1. โหมดที่ 1 คือ เทียบในเชิง Fund Performance ในช่วงเวลาต่างๆ ย้อนหลังครับ เช่นที่ระยะ 5 ปี, 3 ปี, 1 ปี, 6 เดือน หรืออื่นๆ ตามที่มีข้อมูล
  2. โหมดที่ 2 คือ เทียบแบบ Shot-by-Shot เลยครับ เป็นการสมมติว่า ถ้าเราเริ่มลงทุนกองที่เราต้องการเปรียบเทียบพร้อมกัน ในวันที่เริ่มต้น (ซึ่งเรากำหนดได้)  จนถึง วันสิ้นสุด (ซึ่งเราก็กำหนดได้เช่นกัน) ว่ากองไหน มีการวิ่งขึ้นลงของ Value อย่างไรบ้าง
  3. โหมดที่ 3 คือ เทียบในรูปแบบตารางครับ โดยนำค่าข้อมูลต่างๆ ของแต่ละกอง มาเทียบกันในตาราง 2 มิติ

วิธีการสับโหมดการเปรียบเทียบนี้ หากดูจากรูปด้านล่างนี้  ที่ด้านบนมุมขวาของหน้าจอ จะเห็นรูปลูกศร ซ้ายขวา นะครับ กดได้เลยฮะ จะเป็นการสับโหมดการเปรียบเทียบไปใน 3 โหมด  หรือ กดปุ่มด้านบน ตรงกลาง ก็ได้เช่นกัน  (ปุ่มที่เขียนว่า Compare: Period ตามรูปด้านล่าง)  ก็จะขึ้นมาให้เลือกเลยฮะ ว่าจะเทียบในโหมดใด

IMG_9740.PNG

ซึ่ง ด้านล่างของหน้าจอนี้ เราสามารถเลือกกองทุนที่เราต้องการ เปรียบเทียบได้ครับ ว่าจะนำกองใด มาเทียบบ้าง ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดทุกกองเทียบพร้อมกันเวลาเดียวกันนะครับ เพราะข้อมูลคงจะแสดงผลมากเลยทีเดียว ลองดูภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ จะเป็นการเปรียบเทียบ 4 กอง ได้แก่ UOBLTF, MIF-LTF, JB25 LTF และ ABLTF

IMG_9741.PNG

ถัดมาครับ ลองเปลี่ยนเป็นโหมดการเปรียบเทียบแบบ  Shot by Shot โดยสมมติว่าเราลงทุนทั้ง 4 กองนี้พร้อมกัน วันที่ 21 June 2018 ยาวไปจนถึงวันนี้ (19 Sep 2018) นะครับ  วันที่นี่เราสามารถใช้นิ้วแต เพื่อปรับเปลี่ยนวันที่ได้อย่างอิสระ  การเปรียบเทียบในโหมดนี้เหมือนนำกองทุนทั้ง 4 กองมาวิ่งแข่งกัน ณ จุดเริ่มต้นเดียวกันครับ โดยจากภาพตัวอย่างนี้ เราจะเห็นคร่าวๆ แล้วว่า  กองสีม่วง กับ สีฟ้า นี่วิ่งดีกว่า อีก 2 สีที่เหลือ  ในช่วงเวลาที่เราลองจำลองการแข่งขันตรงนี้นะครับ โดยในแกน Y นั้นจะคิดเป็น %Profit (หรือ %Loss) โดยรวมเรื่องของ NAV Change + Dividend เข้าไปหมดแล้ว (ถ้ากองไหนมี Dividend)

IMG_9742.PNG

ซึ่งจุดเริ่มต้น (Begin) และ จุดสิ้นสุด (End) ของการเปรียบเทียบนั้นค่อนข้างสำคัญนะครับ เพราะมันคือ ช่วงเวลาย้อนหลังที่เราต้องการพิจารณานั่นเอง  อย่างภาพด้านบนนั้นผมจะเทียบแค่ 3 เดือนย้อนหลังครับ แต่ภาพด้านล่างนี้ ผมเทียบที่ 1 ปีย้อนหลัง จะเห็นว่า กราฟที่ได้ก็คนละแบบเช่นกัน เพราะจุดเริ่มต้นมันไม่เท่ากัน ต้นทุนก็แตกต่างกันครับ  เราเลยต้องเลือกเวลาพิจารณาให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่เราต้องการเทียบ

IMG_9744.PNG

ส่วนโหมดการเปรียบเทียบในรูปแบบตารางนั้น จะมีตัวอย่างหน้าจอตามรูปด้านล่างนี้ครับ เป็นตาราง 2 มิติที่จะ Pin ชื่อกองทุนไว้ด้านบน และ ข้อมูลที่ต้องการเปรียบเทียบไว้ด้านซ้ายนะครับ เราสามารถ scroll ไปได้ในทั้ง 2 ทิศทาง (ต้องลองใช้ดูครับ)

IMG_9745.PNG

ถ้า scroll ลงมาด้านล่าง จะเห็นการเปรียบเทียบด้าน Absolute Return และ Max Drawdown (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Drawdown) รวมถึงสัดส่วนระหว่าง Absolute Return และ Max Drawdown  ด้วยเช่นกัน (ที่เขียนเป็นตัวอักษรสีเหลืองว่า Return/MDD @ Timeframe ต่างๆ)  ซึ่งจุดนี้ ขอย้ำนะครับ ว่า ผมสังเคราะห์ field ข้อมูลของการนำ Absolute Return มาหารกับ Max Drawdown (เอาค่า Max Drawdown แบบที่ไม่ใช่ค่าติดลบมาใช้นะครับ) ตรงนี้ เป็นแบบ simple math calculation เพื่ออำนวยความสะดวกในการเทียบเท่านั้นนะครับ มันจะไม่ใช่ Ratio ในกลุ่มที่เรียกว่า Risk Adjusted Return  ดังนั้นแล้ว การนำข้อมูลนี้ไปใช้ตัดสินใจใดๆ นั้น ผมยังคงขอย้ำว่า ให้ตรวจสอบจากหลายๆ แหล่งข้อมูล ก่อนการตัดสินใจลงทุนใดๆ ผมสร้าง FIN มาเพื่อเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกเท่านั้น เรื่องความถูกต้องของข้อมูลใดๆ นั้น นักลงทุนยังคงต้อง พิจารณาไตร่ตรองอย่างระมัดระวังด้วยตนเอง ครับ ผมไม่สามารถรับประกันความถูกต้องของข้อมูลใดๆ ได้ นะฮะ ตามที่เขียนไว้ (อ้างอิงตาม FIN App Term of Service)

IMG_9746.PNG

สุดท้ายครับ หน้า Fund Compare ตรงนี้ ผมมี Tip แนะนำอีกนิดนึงคือ  กรณีที่ต้องการเปิดดูหน้า Fund Profile ของแต่ละกองทุนตรงนี้  ผู้ใช้สามารถใช้นิ้ว กดจิ้มค้างไว้ (หรือที่เรียกว่า Long press gesture) ตรงชื่อ กองทุนครับ  ทั้งชื่อที่หัวตารางด้านบน  หรือ ชื่อด้านล่าง ได้หมดนะฮะ  แล้ว FIN จะเปิดหน้า Fund Profile ขึ้นมาแสดงผลให้ได้ครับ

หวังว่าความสามารถ Fund Compare นี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้นะครับ โดยความสามารถนี้อยู่ในส่วนหนึ่งของ FIN Premium Service ด้วยเช่นกัน  ถามว่าถ้าไม่มี Feature นี้ยังสามารถเปรียบเทียบได้หรือไม่  ก็ได้ครับ แต่ว่าคงต้องหากระดาษมาจดนะฮะ  ซึ่งก็ไม่สะดวกเท่าไรนะครับและล่าช้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วผมเลยใช้เวลาสร้างความสามารถ Fund Compare ในหลายมิติตรงนี้ขึ้นมาเพื่อ ลดเวลา ทำให้มันสะดวกต่อผู้ใช้ และน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ครับ 🙂