FAQ: วิธีแก้ปัญหา กรณีเจออาการ App ค้าง ในหน้า Portfolio

28 July 2022 – หากคุณผู้ใช้ เจออาการ App ค้างในหน้า Portfolio เมื่อ กดเข้าดู Transaction Detail ของกองทุนที่บันทึกไว้ แล้วนิ่ง กดแล้วไม่ไปไหน รวมถึง อาการตอนที่จะ Switch Transaction แล้วเลือก กองทุนต้นทางจาก List เมื่อ scroll list แล้ว มันแปลกๆ scroll ไม่ลง เด้งกลับที่เดิม อาการทำนองนี้ บทความนี้จะมีวิธีแก้ปัญหาลักษณะนี้ครับ

ปัญหานี้ถูกวิเคราะห์สาเหตุและมีวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าครับ ซึ่งสาเหตุนั้น เป็น Bug ของ iOS ในส่วนของ Text Size ใน Accessibility ซึ่งวิธีจัดการปัญหานี้ ให้กดตาม Steps ดังนี้

  1. กดเข้า iOS Setting เพื่อ ตั้งค่าครับ
  2. Scroll ลงไปตรง Accessibility นะครับ กดเข้าไปฮะ
  3. กดต่อเข้าไปตรง Display & Text Size (เมนูลำดับต้นๆ) เพื่อปรับขนาดตัวอักษร กดเข้าไปครับ
  4. จากนั้น กดตรง Larger Text ครับ เพื่อเข้าไปในนั้น
  5. เมื่อเข้าไปแล้ว มันจะมี แถบ slider ด้านล่างสุด ให้ปรับ มาอยู่ตรงกลางนะครับ ส่วนที่ด้านบน มี switch ให้เลือก ก็ให้ปิดไปก่อนครับ

คือ พยายาม set หน้าจอ ให้เป็นไปตาม ตัวอย่างหน้าจอด้านล่างนี้

แล้วลอง ปิด เปิด FIN แล้วเข้า FIN ใหม่ฮะ น่าจะปกติแล้วครับ

หรืออีกวิธีการหนึ่งคือ ตั้งค่า Accessibility แบบ Per-App ซึ่งสามารถทำได้ที่หน้า iOS Setting > Accessibility แล้ว scroll ลงไปด้านล่างสุด จะเห็นปุ่ม “Per-App Settings” ก็ลองดูได้เช่นกันนะครับ

ทั้งหมดนี้คือวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (workaround) นะครับ ปัญหานี้ เป็นปัญหาเกี่ยวกับ การ แสดงผลของ iOS ในเชิง Text Font Size ที่ไม่ใช่ค่าปกติ จะมี bug กับ user interface บางอย่าง ซึ่ง จุดนี้ ไม่สามารถ แก้ได้ด้วย Code ของฝั่ง FIN ณ เวลานี้นะฮะ อาจจะต้องรอ ทาง Apple แก้เรื่องนี้ ใน iOS Version อนาคตครับ

ลองดูครับ หากมีคำถามอื่นใด screen capture หรือ ถ่าย video ส่งมาให้วิเคราะห์เพิ่มเติมได้ครับ

FAQ: วิธีตั้งค่าควบคุมการแสดงผล Portfolio ใน FIN

29 July 2022 – FIN Version 4 มีการปรับปรุงใหญ่ในส่วนของ Portfolio ซึ่งมีความสามารถเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และ FIN มีผู้ใช้ที่ค่อนข้างหลากหลายกลุ่ม หลากหลายความต้องการ จึง มี Options ให้คุณผู้ใช้กำหนดการตั้งค่า แสดงผลต่างๆ ได้ ตามความต้องการของแต่ละผู้ใช้ ในบทความนี้ จะอธิบายถึง วิธีการตั้งค่าเพื่อควบคุมการแสดงผลในหน้า Portfolio แบบใหม่ครับ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนนะครับ คือ ส่วนที่ ควบคุมการแสดงผลในแต่ละกอง และ อีกส่วนหนึ่งก็คือ การควบคุม Layout ของหน้าจอบน iPadOS ครับ (ว่าจะ Split View 2 ฝั่ง หรือว่า Single View แบบคล้ายๆ version เก่า)

ก่อนจะตั้งค่าควบคุมการแสดงผลเหล่านี้ แนะนำให้ Update FIN ให้เป็น version 4.0.7 หรือล่าสุดครับ โดยกดได้ที่ App Store Link https://apple.co/2HSKplH

ส่วนที่ 1: การควบคุมการแสดงผลในแต่ละกองทุน ในหน้า Portfolio (ทำได้ทั้งบน iOS และ iPadOS)

ขั้นตอนแรกสุด ให้กดที่ปุ่ม Manage ในหน้า Portfolio ตามรูปครับ

กดที่ปุ่ม Manage

เมื่อเข้าไปที่หน้า Portfolio Manage แล้ว จะมี Options ให้ควบคุมการแสดงผลเพิ่มเติม 2 Options ตามรูปด้านล่างนี้

การตั้งค่าตรงนี้ จะเป็นการตั้งค่าของแต่ละ Portfolio นะครับ (Per-port configuration) ดังนั้นแล้วก็ตั้งค่าได้ตามที่ต้องการครับ ว่าต้องการจะให้ แสดง Insight หรือไม่ หรือ จะให้ปิดการแสดงผล % TWR หรือไม่อย่างไร ตรงนี้ กำหนดได้ตามความต้องการของผู้ใช้ทั้งหมดครับ จากนั้นกด Done

กรณีที่เลือกที่จะปิดการแสดงผล Insight ในแต่ละ Asset (แต่ละกองทุน) และ ปิดการแสดงผล %TWR ก็จะได้หน้าจอ คล้ายกับ version เก่าครับ และ หากต้องการแสดงผล ให้ย่อกว่านี้ ตรง Manage นั้น จะมี Option “แสดงผลแบบเต็มรูปแบบ” อันนั้นให้ปิดด้วยนะครับ ก็จะได้ การแสดงผลที่ ย่อที่สุดครับ

ส่วนที่ 2: การควบคุม Layout การแสดงผลบน iPadOS (ไม่มีการตั้งค่าเรื่องนี้บน iOS)

ใน FIN ใหม่ ค่าเริ่มต้นจะแสดงผลแบบ Split View ที่มีแถบหน้าจอแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ซ้ายและขวา ตามรูปด้านล่างนี้ ซึ่งจะแสดงแถบสี ให้เห็นว่ามี 2 ฝั่งครับ กรณีที่ต้องการ ปรับ Layout การแสดงผลตรงนี้ ให้กดปุ่มรูปเกียร์ ตามที่ลูกศรสีแดงชี้ตามรูปนะครับ

เมื่อกดปุ่มรูปเกียร์แล้ว จะมีเมนูย่อยแสดงขึ้นมา ก็เลือก Prefer Single View ได้ครับ เพื่อปรับ Layout การแสดงผล จาก 2 ฝั่ง ให้เหลือเพียงฝั่งซ้ายฝั่งเดียวแบบขยายเต็ม ตามรูปหน้าจอตัวอย่างด้านล่างนี้

เมื่อกดเลือกแบบ Prefer Single View แล้วก็จะได้หน้าจอแบบด้านล่างนี้ครับ ซึ่งก็จะใกล้เคียงกับ Version เก่า และ ยังสามารถควบคุมการแสดงผลในแต่ละ กองทุนได้ ตามคำแนะนำด้านบนในส่วนที่ 1 นะครับ

กรณีที่ต้องการปรับเป็น Split View 2 หน้าจอ ก็ทำได้โดยการกดปุ่มรูปเกียร์ และ เลือก Prefer Split View สลับกับไปมาได้ครับผม

ที่หน้า Fund Rank ก็ทำได้เช่นกันครับ ลักษณะวิธีการสลับโหมดการแสดงผล จะอยู่ที่ปุ่มขวาบน ข้างๆ ปุ่ม Search ในหน้า Fund Rank นะครับ

และแนะนำเพิ่มเติมครับ FIN เป็น App ที่ออกแบบมาเพื่อให้ทำงานบน ระบบ iOS, iPadOS ให้ดีที่สุด โดยรองรับหลายๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ ของ Apple Platform ดังนั้นแล้ว ความสามารถต่างๆ บน iPadOS อย่าง Split View นั้น ใน FIN ก็ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี บน iPadOS นั้น เราสามารถ ทำพวก splitview ได้ครับ อาจจะดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=YbaiZS_G2a4 การแบ่งหน้าจอ ออกเป็น 2 ส่วน หรือ 1/3 ส่วน เพื่อเปิดควบคู่กับ app อื่นๆ

และ FIN ใหม่นั้น รองรับ iPadOS แบบ Multiple Windows ได้ด้วยนะครับ (เปิด FIN พร้อมกัน มากกว่า 1 หน้าจอใน iPad OS splitview) ดู demo ได้จาก video นี้ครับ

https://drive.google.com/file/d/1myKr7yx76xLYMmGJhHp4WmT_buPkSsct/view?usp=sharing เผื่อกรณี มีท่าการใช้งานต่างๆ หลากหลายรูปแบบ ยืดหยุ่นครับ

ลองดูนะฮะ หากมีคำถามอื่นใด เขียนมา cross check กันได้ตลอดนะครับผม ขอบคุณครับ :]

เปรียบเทียบการคิดต้นทุนแบบ First-in , First-out (FIFO) กับแบบ Weighted Average (WAVG)

5 July 2022 – ตั้งแต่ FIN version 4.0 เป็นต้นไป ผู้ใช้ FIN สามารถเลือกกำหนด การคิดต้นทุนของแต่ละ กองทุนที่บันทึกเข้าไปใน portfolio ได้ด้วยตนเองนะครับ (ค่า default ปกติคือ FIFO แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเองตลอดเวลา) เนื้อหาในบทความนี้ จะทำให้เห็นภาพแบบลงตัวอย่างจริง ของการคิดต้นทุนแบบ First-in, First-out (เรียกชื่อย่อว่า FIFO) กับแบบ Weigthed Average (เรียกชื่อย่อว่า WAVG) นะครับ

ก่อนจะลงรายละเอียดตัวอย่างคำนวณจริง จะขอสรุปเนื้อหาแบบสั้นกระชับก่อนเลยฮะ ดังนี้

  • การคิดทั้ง 2 วิธีนั้น เป็นวิธีการคิดต้นทุนทางบัญชีตามปกติ ไม่มีวิธีไหน ถูกหรือผิดแต่อย่างไร เป็นแค่วิธีการคิดต้นทุนเท่านั้นครับ เป็นแนวคิดคำนวณที่ใช้ได้กับทรัพย์สินหลายรูปแบบ กองทุนรวมก็เป็นหนึ่งในนั้น

  • สไตล์การคิด จะอยู่ที่ตอนการ Sell Transaction ครับ โดยปกติเมื่อทำการขายใดๆ จะทำให้เกิดการคำนวณ Realized Profit/Loss เกิดขึ้น โดยการเทียบว่า ด้วยราคาที่ขายปัจจุบัน เมื่อเทียบกับต้นทุน นั้นกำไร หรือขาดทุน ทีนี้ ต้นทุนจะอยู่ที่จุดใดนั้น จะขึ้นอยู่กับว่า ใช้วิธีไหนคิด ถ้า FIFO ก็จะเทียบต้นทุนกับ Lot เก่าสุดที่ยังเหลือให้ขาย ถ้าเป็น WAVG ก็จะเทียบกับต้นทุนเฉลี่ยกลาง

  • FIN version 4.0 เป็นต้นไป ที่จะเปิดให้ update/download ได้บน App Store นั้น ตั้งแต่วันที่ 6 July 2022 เป็นต้นไป ผู้ใช้สามารถเลือกกำหนดได้ครับ ว่า กองทุนไหน ให้คิดต้นทุนวิธีไหน ตามที่ต้องการ กด Download หรือ Update ได้ที่ https://apple.co/2HSKplH

เริ่มต้นด้วยการบันทึก Buy Transaction ของกองทุนสักหนึ่งกองก่อนเลยนะครับ กรณีนี้ขอเลือก K-USXNDQ-A(A) โดยบันทึก Buy Transaction จำนวน 2 รอบ (หรือจะเรียกว่า 2 Lots ก็ได้) ตามรูปด้านล่างนี้

การบันทึกเฉพาะ Buy transactions นั้น การคิดต้นทุน ทั้ง 2 วิธี จะได้ค่าเดียวกันเสมอ นั่นคือ 20.8796 แต่ถ้าเริ่มมี Sell Transaction นั่นจะทำให้ การคิดต้นทุนทั้ง 2 วิธีจะเริ่มได้คนละค่าต้นทุนครับ เดี๋ยวค่อยชี้ให้เห็นตัวอย่าง การคิดต้นทุน ณ ภาพนี้ คือ คิดวิธีการเดียวกันเลยครับ คือ ยอดเงินทั้งหมด 10,000 + 20,000 หารด้วย จำนวนหน่วยทั้งหมด 1,436.8068 หน่วย ออกมาต้นทุนที่ 20.8796 บาทต่อหน่วยลงทุน ตรงไปตรงมา นะครับ ทั้ง WAVG, FIFO จะได้ค่าเดียวกันเสมอครับ

ใน FIN version 4.0 เราสามารถเลือกดู Transaction ที่บันทึกได้ 3 แบบ คือ แบบปกติ ตามรูปด้านบนจะขึ้นทุก transaction ที่บันทึกเข้าไป และ ยังสามารถเลือกดูแบบ Group by Lot หรือ by Year ได้ ซึ่งจริงๆ ก็ทำได้มานานแล้ว แต่ FIN version 4.0 นั้น จะเห็นรายละเอียดมากขึ้น ตามรูปด้านล่างนี้

คือจะเห็น Lot 1 และ Lot 2 พร้อมกับ แท่งสีเขียว เพื่อให้เห็น ปริมาณหน่วยที่เหลืออยู่ใน Lot นั้นๆ นั่นเอง ทีนี้เริ่มบันทึก Sell Transaction ครับ ของวันที่ 6 July 2021 จำนวน 8,000.00 บาท ตามภาพด้านล่าง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ราคาต้นทุนเฉลี่ยของ FIFO กับ WAVG จะเริ่มแตกต่างกันแล้วครับ ตามภาพด้านบน จะเห็นว่า Avg Cost แบบ FIFO มีการเปลี่ยนค่า เป็น 20.8700 จากเดิมที่ 20.8796 ส่วนของการคิดแบบ WAVG จะเป็นไปตามรูปด้านล่าง คือได้ค่า 20.8796 เท่าเดิม นี่คือ จุดแตกต่างนั่นเอง ว่าทุกๆ Sell Transaction ที่คิดแบบ FIFO จะทำให้ Avg Cost ต่อหน่วยของกองทุนนั้นๆ มีค่าเปลี่ยนแปลงไป นั่นเป็นเพราะ FIFO ตามชื่อเลยครับ First-in, First-out เวลาขาย จะขาย Lot เก่าสุดออกไปก่อน (เป็นแนวคิดเดียวกับ ที่ใช้คิดต้นทุนในกองทุน LTF สมัยก่อน) เมื่อ Lot เก่าขายออกไปหมดแล้ว ต้นทุนเฉลี่ยก็จะขยับไปเรื่อยๆ ตาม Lot ที่ยังเหลืออยู่

มาดูรูปแบบการแสดงผลแบบ By Lot กันบ้างของการคิดแบบ WAVG ตามภาพด้านล่างนี้ จะพบว่า แท่งสีเขียว มีการหายไปบางส่วน แต่จะเกิดขึ้นกับทุกๆ Lot ในปริมาณสัดส่วนที่เท่าๆ กัน อันนี้คือ การขายแบบ WAVG ครับ คือการขายนั้น จะขายเทียบกับทุก Lot นั่นเอง (เทียบ Current Value ลบกับ ค่าต้นทุนเฉลี่ยกลางของ ทุก Lot) ทำให้เวลาขาย นั้น ต้นทุนเฉลี่ย ยังคงเป็นค่าคงที่ ตราบใดที่ไม่ได้มี Buy Transaction Lot ใหม่เข้ามาเฉลี่ยเพิ่มเติม

ถ้าเป็นการขายแบบ FIFO จะได้ แท่งเขียวตามรูปด้านล่างนี้ ซึ่งจะเห็นว่า การขายออกที่ 8,000.00 บาท หรือคิดเป็นจำนวนหน่วยลงทุนที่ 288.6356 หน่วยนั้น จะขายออกจาก Lot 1 ก่อน จากเดิม Lot 1 มีจำนวนหน่วยอยู่ที่ 478.0571 หน่วย เมื่อโดนขายออกไป 288.6356 หน่วยจะเหลือหน่วยที่ยังขายต่อได้ที่ 189.4215 หน่วย ถ้าคิดต้นทุนเฉลี่ย ณ จุดเวลานี้ จะคิดได้จาก เอา Remaining Cost ที่เหลืออยู่ของทั้ง 2 Lots นั่นคือ 3,962.32 + 20,000.00 แล้วหารด้วยจำนวนหน่วยที่เหลืออยู่ทั้งหมด คือ 1,148.1712 หน่วย ได้ออกมาที่ 20.8700 นั่นเอง

ก็จะเห็นได้ว่า FIN version 4.0 นั้น สามารถช่วยอธิบายเรื่อง FIFO, WAVG แบบเห็นภาพได้ชัดเจน ด้วย แท่งสีเขียวนี้ครับ ว่าขายที่ Lot ไหนบ้าง น่าจะเป็น app ที่ช่วยทำให้เห็นภาพเรื่องนี้ได้ชัดเจนสุด และ อิงข้อมูลจริงที่บันทึก อธิบายทุกอย่างได้เป๊ะสุดแล้วครับ 🙂

ตัวอย่างต่อไป หากเราต้องการขายต่อโดยบันทึกขายต่ออีก 12,000.00 บาท จำนวนหน่วยที่ 407.5893 แบบตามรูปด้านล่างนี้ หากเป็น FIFO เราจะเห็นว่าค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อหน่วย ขยับไปที่ 20.8605 แล้วครับ ซึ่งถ้าดูดีๆ คือ คือราคาต้นทุนของ Buy Lot 2 นั่นเอง กรณีนี้ Lot ที่ 1 ขายหมดเกลี้ยงไปแล้ว

รูปถัดไปด้านล่างนี้ แสดงผลแบบ By Lot ของ FIFO จะเห็นว่า Lot 1 กลายเป็นสีเทา ขายหมดไปเรียบร้อย ดังนั้นต้นทุนเฉลี่ยของ FIFO ที่จะใช้คือ ใช้ของ Lot ที่เหลืออยู่ ในกรณีนี้คือ Lot 2 ซึ่งต้นทุนอยู่ที่ 20.8605 ค่าเฉลี่ยต้นทุนก็จะเป็นค่าเดียวกัน

มาลองดูแบบ WAVG บ้าง ตามรูปด้านล่างนี้ครับ ต้นทุนเฉลี่ย Avg Cost ก็ยังคงเป็นค่าเดิมคือ 20.8796 และหากดู Group by Lot แท่งสีเขียวนั้น ถึงแม้ว่าเราจะทำ Sell Transaction ไป 2 รอบแล้ว การขาย ก็คือ ขายเทียบกับทุก Lot เหมือนเดิม จะไม่มี Lot ใด Lot หนึ่งขายหมดก่อน เหมือนแบบ FIFO ทุก Lot จะขายไปพร้อมๆ กัน เฉือนออกในสัดส่วนที่พอๆ กัน นั่นเอง วิธีคิดต้นทุนเฉลี่ยยังคงเหมือนเดิมคือ เอา Remaining Cost ของทุก Lot มารวมกัน และ หารด้วยจำนวนหน่วย ดังนี้ (5,154.36 + 10,308.72) / 740.5819 = 20.8796

อ่านถึงจุดนี้ คงจะเห็นภาพอย่างชัดเจนของความแตกต่างระหว่าง การคิดต้นทุนทั้ง 2 วิธีนะครับ และ FIN version 4.0 ก็สามารถช่วยอธิบายให้เห็นภาพเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนภายใน app ตามที่อธิบายไปทั้งหมด นอกเหนือจากค่าต้นทุนเฉลี่ยที่จะคิดต่างกันแล้ว ค่า Realized Profit/Loss ก็จะออกมาแตกต่างกันเช่นกันนะครับ เพราะว่า การเทียบต้นทุนกับ Lot เก่านั้น ทั้ง 2 วิธีจะใช้คนละจุดเทียบกันนั่นเอง

หากต้องการอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FIFO นั้น สามารถดูได้จากบทความเก่าในอดีต ที่ผมเคยเขียนไว้ มาประกอบเพิ่มเติมได้ครับ กดอ่านได้ที่นี่

FIN version 4.0 เป็นต้นไป ที่จะเปิดให้ update/download ได้บน App Store นั้น ตั้งแต่วันที่ 6 July 2022 เป็นต้นไป กดได้ที่ Link นี้ https://apple.co/2HSKplH โดยจะรองรับ iOS 15, iPadOS 15 และ macOS ที่ใช้ Apple Silicon Chip M1, M2 ขึ้นไปนะครับ

หากมีคำถาม ความคิดเห็นใดๆ สามารถเขียนเข้ามาในหน้า Feedback ใน FIN App ได้เลยนะครับ ขอบคุณครับผม :]

วิธีคำนวณผลตอบแทนแบบ Time-Weighted Rate of Return (TWR)

4 July 2022 — เกริ่นนำก่อนนะฮะ FIN พัฒนามาตลอดกว่าหลายปี ก็มีการเพิ่ม feature อะไรต่างๆ พอสมควร และ ล่าสุด ก็เพิ่ม วิธีการคำนวณผลตอบแทน ที่เป็น Industry standard ในแวดวง Finance เข้ามานะครับ คือการคิดผลตอบแทนแบบ TWR (Time-weighted rate of return) ซึ่งปัจจุบัน ค่อนข้างนิยมมากๆ ครับ ในกลุ่ม กองทุนรวมนะฮะ ดังนั้นตั้งแต่ FIN version 4.0 เป็นต้นไป (July 2022) FIN จะมีวิธีการคิดผลตอบแทน Total Return แบบทางเลือกด้วยวิธี TWR ซึ่งในบทความนี้จะอธิบายวิธีการคิดผลตอบแทนแบบนี้โดยมีตัวอย่างให้ดูนะครับ

หรืออาจจะ search Google ด้วย keyword “คิดผลตอบแทน twr” ก็จะเห็นบทความอธิบายเรื่องนี้ อยู่พอสมควรครับ

ซึ่ง TWR เป็น ทางเลือกนึงๆ ในการคิดคำนวณภายใน FIN นะครับ (ซึ่งเป็นทางเลือกที่ นิยมกันมากในโลก Finance) แต่ว่า หาก user รู้สึกว่า ยังไม่เคลียร์หรือกระจ่างชัดจริงๆ หรือไม่ชอบดูตัวเลข TWR นี้ ภายใน FIN จะสามารถให้ user กำหนด ปิดหรือเปิด การแสดงผล ค่า TWR ในหน้า Portfolio ได้ครับ โดยการกดที่ ปุ่ม Manage ที่หน้า Portfolio แล้ว เมื่อเข้าไปแล้ว ก็ scroll ลงมาล่างสุด จะเห็น “ปิดการแสดงผล % TWR ในแต่ละ Asset” ให้ปิด switch ไม่ให้เป็นสีเขียว ก็จบครับ 🙂 FIN จะพยายามรองรับทุกทางเลือก

FIN version เก่า  การคิด %Total Return นั้น จะใช้วิธี แบบ Simple ครับ ซึ่งใช้วิธีคิดแบบง่าย เพื่อให้เข้าใจง่าย แต่ว่าก็เป็นวิธีที่ ไม่ได้คำนึงถึง การเปลี่ยนแปลงของ cost (พวก buy/sell transaction ที่บันทึกเข้าไป) ในช่วงเวลาต่างๆ ในอดีต การคิดจะง่ายและตรงไปตรงมา (แต่ไม่ได้สะท้อน performance ที่แท้จริงของ การลงทุนนั้นๆ)  แต่ใช้งานได้ล่ะครับ เพราะหลายๆ App ก็จะยังใช้วิธีแบบ Simple Total Return แต่ เมื่อมีทางเลือกอื่นอย่าง TWR ซึ่งจัดเป็น วิธีที่นิยมกันมากพอสมควร ก็เลยสร้างมาใน FIN version 4.0 ด้วยครับ

ที่ว่าการคิดง่ายและตรงไปตรงมา คือ   เอาค่า Unrealized PL ปัจจุบัน + Dividend (ถ้ามี และถ้าต้องการนำมารวม) + Realized PL (ถ้ามี และถ้าต้องการนำมารวม) มา sum กันทั้งหมด (เป็นการ Sum ข้ามเวลาจากจุดในอดีตมาถึงปัจจุบัน)   แล้วก้อนนี้ จะหารด้วย   current active cost ทั้งหมด (cost จากอดีต “ที่เหลืออยู่” รวมๆ กันมาจนถึงจุดปัจจุบัน) ในครั้งเดียว   หารกันออกมา ได้ค่า % อันนึง จบ ซึ่ง กรณีที่กองนั้นๆ เรามี transaction ซื้อ/ขาย จำนวนมาก cost ในอดีตมันก็จะหายไปจาก current active cost ด้วยครับ ทำให้การคิด %Return ตรงนี้ พร่องหายไปครับ

ด้วยความที่วิธีนี้ factor หลายอย่างมันพร่องหายไป เพราะ % ที่ได้ นั้น คือ  มันไม่แฟร์ ต่อ  Transaction เก่าๆ ในอดีตฮะ  ถ้า transaction เก่าๆ ในอดีต ทำ % Return ไว้ดีมาก (หรือในทางตรงกันข้าม)  จะถูกกลืนหมดด้วยสูตรการคิดแบบด้านบนครับ

ก่อนจะเข้ายกตัวอย่าง ถึงจุดนี้ ให้ แยกความเข้าใจ ระหว่าง % Return กับ ปริมาณเงิน นะครับ สูตรของ TWR จะเน้นๆ ที่ % Return (ไม่ได้สนใจ ที่ปริมาณเงิน สนใจที่ค่าสัดส่วน) นั่นหมายความว่า ปกติ % Return นั้น จะคิดจากการนำ ตัวเลขปริมาณเงิน A หารด้วย ตัวเลขปริมาณเงิน B เป็นค่าสัดส่วนออกมา จะเห็นว่า การหารกันตรงนี้ ปริมาณเงิน มันจะไม่อยู่ในสมการให้เห็นแล้วนะครับ เป็น % ทั้งหมด (เป็นค่า สัดส่วน)

ยกตัวอย่างนะครับ สมมติ ลงทุนกองทุนนึง เริ่มที่ 1 ล้านบาทถ้วน (Lot 1) ลงทุนวันที่ 1 July 2021

ผ่านไป 6 เดือน (วันที่ 1 Jan 2022) Current Value ของกองนี้อยู่ที่ 1.5 ล้านบาท (%Return ณ จุดเวลานี้คือ 50%)
ซึ่ง ณ จุดนี้ มีการลงทุนเพิ่มอีก 1 ล้านบาทด้วย (Lot 2) ในวันนั้น รวม Current Value จุดนี้คือ 2.5 ล้านบาท

ผ่านไปอีก 6 เดือน ณ วันที่ 1 July 2022 Current Value อยู่ที่ 2.0 ล้านบาท ok หยุดที่จุดเวลานี้ แล้วคิด Return ตามวิธีด้านล่าง

ถ้าคิดด้วยวิธีแบบง่ายคือ เอา Unrealized Profit คือ 0.0 บาท หารด้วย Total Active Cost คือ 2.0 ล้านบาท (เราลงทุน 1 ล้านบาท 2 ครั้ง) % Total Return คือ 0% นะครับ
ซึ่งถามว่า ใช่หรือเปล่า ?

เงินของ Lot 1 ที่เราใส่ไป 1 ล้านบาท เมื่อ 1 ปีที่แล้ว Return ไม่มีเลย? ค่าออกมา 0% ไม่น่าใช่นะครับ Lot นี้ยังไงก็มี %Return ค่าเป็น +  แต่จะโดนกลบด้วยสูตรการคิดแบบด้านบนฮะ 

ถ้าคิดด้วย วิธีของ TWR จากตัวอย่างนี้ คือ Total Return ที่ 20.0% ครับ ดูจาก Online Calculator อันนี้ได้ฮะ
Screenshot: https://bit.ly/twr-online-calculator
Online Calculator: https://www.rateofreturnexpert.com/time-weighted-return-calculator/

ถ้าแสดงวิธีคิดตามสูตร คือ มี 2 sub-period
Period 1:  ช่วงเวลา 1 ล้าน ไปเป็น 1.5 ล้าน   อันนี้ Return คือ  1.5     ( 0.5 / 1.0 ) + 1
Period 2: ช่วงเวลา 2.5 ล้าน เหลือ 2 ล้าน    อันนี้ Return คือ  0.8    ( -0.5 / 2.5 )  + 1 
เมื่อนำเข้าสูตร TWR จะได้ ( 1.5 x 0.8 ) – 1  = 0.2  ( 20% นั่นเองครับ )

อันนี้จะสะท้อน performance ที่แท้จริงออกมาครับ ในมุมของ % Return ที่แท้จริงนะครับ (ต้องแยกให้ออก ระหว่าง % Return กับ ปริมาณเงิน ว่าเป็นคนละแบบ)
คือถ้าดูจริงๆ ให้มองว่า Return ของ ช่วงเวลาแรก นั้นคือ 1.5 จากนั้น ถูกลดทอนลงที่ 0.8 (ของฐาน 1.5) มันเลยออกมาเป็นแนวการคูณกันเพื่อลดทอน %Return ลงไปในสัดส่วน 0.8 (ในเคสนี้นะครับ) มันเลยเหลือที่ 1.2 (หรือ 20% นั่นเอง %Return ที่แท้จริง)

OK มาเริ่มลงรายละเอียดของสูตรวิธีการคิดของ TWR ณ ​จุดนี้

ใจความหลักของเนื้อหานี้ จะอ้างอิงจากบทความที่ Investorpedia – https://www.investopedia.com/terms/t/time-weightedror.asp แต่จะแทนตัวอย่างด้วย กองทุนภายในประเทศไทย เพื่อเป็นตัวอย่างการคำนวณแบบ TWR

วิธีคิดแบบ TWR นั้นค่อนข้างดีในเชิงการคิด Performance ของการลงทุนจริงๆ เพราะ เป็นการคิดผลตอบแทนแบบทบต้น และ ไม่ได้มีการอิงตัวแปรพวก money inflows เงินเข้า หรือ money outflows เงินออก ที่จะส่งผลกระทบต่อค่า Total Return การคำนวณจะเป็นการคำนวณด้วยช่วงเวลาต่างๆ และ ผลตอบแทนเป็นลักษณะการ คูณกันของผลตอบแทนในแต่ละช่วง จากจุดเริ่มต้นยาวไปจนถึงจุดปัจจุบัน สูตรจะเป็นไปในลักษณะของ geometric mean คูณต่อเนื่อง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.investopedia.com/terms/g/geometricmean.asp) แต่สูตรของ TWR จะเป็นไปตามลักษณะดังนี้ (จะไม่ได้เหมือนกับ geometric mean แบบเป๊ะๆ ที่จะมี การถอด root n)

สูตรการคิด TWR: Time-Weighted Rate of Return

หากพิจารณาจากตัวแปรต่างๆ ในสูตรนี้ จะพบว่าสูตรจะสนใจแค่ค่า Return (หรือในสูตรคือค่า HP มาจากการคิดแบบ ปลาย-ต้น หารทั้งหมดด้วยต้น ผลที่ได้ออกมาคือค่า Return ประเภทนึง) ในแต่ละช่วงเวลา และ จำนวนของช่วงเวลา เท่านั้น จะไม่ได้สนใจเรื่องปริมาณของเงินลงทุน (ว่ามีการนำเงินเข้ามาเพิ่ม หรือนำเงินออกไป มากน้อยขนาดไหน) การคิดคำนวณก็จะเป็นไปตามสูตรนี้ ซึ่งมีการคูณกันต่อเนื่องในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้นแล้ว คำนวณด้วย มือแบบ manual ก็ถ้าข้อมูลไม่เยอะมาก อาจจะทำได้ครับ แต่ถ้าเยอะมาก ใช้ FIN คำนวณ น่าจะดีกว่า เพราะ ออกแบบการคิดเรื่องนี้มาโดยเฉพาะ และคิดอย่างละเอียด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ท้ายๆ บทความ

ยกตัวอย่างการคิด TWR ของจริงกับกองทุนรวม สักหนึ่งกองนะครับ เพื่อความง่ายในการคิด จะขอกองที่ไม่ได้มีค่าธรรมเนียมในการซื้อหรือขาย เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการคิดตรงๆ ดังนี้นะครับ สมมติ transaction ต่างๆ ดังนี้

  • วันที่ 4 August 2020 ผมเริ่มเข้าซื้อของกอง B-INNOTECHRMF จำนวนเงิน 1,000,000.00 บาท (1 ล้าน ได้ที่ราคา 14.6287 บาทต่อหน่วย และ จำนวนหน่วยทั้งสิ้น 68,358.7741 หน่วย)

  • หนึ่งปีต่อมา วันที่ 4 August 2021 NAV ของ B-INNOTECHRMF อยู่ที่ 21.2353 นั่นแปลว่า มูลค่า Current Market Value ของกองทุนนี้ที่ผมถืออยู่คือ 21.2353 * 68,358.7741 = 1,451,619.07564573 (1.45 ล้าน)
  • คำนวณ Sub Period ที่ 1 ในกรณีนี้ดังนี้นะครับ (1,451,619.07564573 – 1,000,000.00) / 1,000,000.00 = 0.451619 (หรือ 45.1619%)

  • และในวันนั้นเอง (4 August 2021) ผมซื้อเพิ่มอีก 1,000,000 บาท (ได้ที่ราคา 21.2354 บาทต่อหน่วย จำนวนหน่วย: 47,091.1779 หน่วย) มูลค่า Current Market Value ของวันที่ 4 August 2021 คือ 2,451,614.3657056 (2.45 ล้าน) มาจาก จำนวนหน่วย 115,449.952 คูณด้วย NAV 21.2353

  • จุดปัจจุบัน (อิงจากบทความนี้) B-INNOTECHRMF ค่า NAV วันล่าสุดคือวันที่ 29 June 2022 นั้นค่า NAV คือ 17.7870 Current Market Value คือ 2,053,508.296224

  • คำนวณ Sub Period ที่ 2 ดังนี้นะครับ 2,053,508.296224 – (1,451,619.07564573 + 1,000,000.00) / (1,451,619.07564573 + 1,000,000.00) = -0.162386882765167 (หรือ -16.2386882765167%)

  • จากนั้นคำนวณ TWR ของ Sub Period 2 ช่วงเวลา จนถึงจุดปัจจุบัน 29 June 2022 ได้ดังนี้ ((1+0.451619) * (1-0.162386882765167)) – 1 = 0.215895 (หรือ 21.5895%)

  • ค่า TWR ของกองทุนนี้ ตามรายละเอียดด้านบน คือ +21.5895% ถ้าปัดเศษก็คือ +21.59% ถ้าดูจากหน้าจอของ FIN ของกองทุนนี้ตามรายการที่บันทึกไปด้านบน ก็จะได้เป๊ะ ตามรูปนี้ครับ

ทีนี้มาวิเคราะห์กันต่อ แบบง่ายๆ ไม่ต้อง TWR ให้วุ่นวายหรือซับซ้อน ดูกันที่ NAV ของกองทุนนี้ครับ

NAV ของจุดเริ่มต้นคือ 14.6286 (4 Aug 2020) NAV ของจุดปัจจุบันคือ 17.7870 (29 June 2022) กองนี้ไม่ได้มีปันผล ดังนั้นคิดส่วนต่างกันตามปกติ จะได้ที่ (17.7870 – 14.6286) / 14.6286 = 21.59% เช่นกัน นั่นยืนยันการคิดสูตรของ TWR นั้น ไม่ได้สนใจ ขนาดเงินเข้าหรือออกในการคำนวณ ทุกอย่างอิง Return ในแต่ละ Sub Period และนำมาคูณกันตามสูตร ซึ่งก็จะมี Total Return ที่สอดคล้องตามกองทุนนี้จริงๆ ถ้าดูจาก การเปลี่ยนแปลงของ NAV ของกองทุน

ทั้งหมดนี้คือ การคิดแบบอย่างง่ายนะครับ แต่ในความเป็นจริง กองทุนที่เราซื้อหรือขายนั้นอาจจะมี อีกหลายค่าที่มาเกี่ยวข้อง ที่ทำให้ การคิด Return แต่ละช่วงเวลานั้น ไม่ได้ ง่ายๆ อย่างตามตัวอย่างด้านบน เพราะว่าจะมีเรื่องของ

  • ค่าธรรมเนียมซื้อหรือขาย ของแต่ละ Transaction (ถ้ามี)
  • เงินปันผล (ถ้ามี)
  • ถ้ามีการขายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายโดยนักลงทุน หรือ ระบบการขายแบบ auto-redemption ขายคืนอัตโนมัติ จะมีค่า Realized Profit/Loss เกิดขึ้นที่ต้องนำมาคิดเข้าไปด้วย เพราะค่าเหล่านี้คือค่า กำไรจริง/ขาดทุนจริง ซึ่งค่า Realized Profit/Loss ตรงนี้ ก็จะขึ้นกับ วิธีการคิดต้นทุนที่เราสามารถเลือกด้วยครับ ว่าจะใช้แบบ FIFO หรือ Weight Average ในการคิด

ค่าต่างๆ เหล่านี้ จะใช้คิดตอนที่เราคิด Return ในแต่ละ Sub Period ครับ ว่าต้องบวก ต้องลบ อะไรเข้าไปบ้าง

วิธีการคิดแบบ TWR นี้ จะทำให้เราวัด Performance ของ กองทุนที่เราซื้อขาย ได้ค่อนข้างดีเพราะ TWR สะท้อน performance จริงออกมาครับ เพราะโดยปกติแล้วการลงทุน เราจะเป็นแนวมีการ ซื้อหลายรอบ (หลายช่วงเวลา) หรือ อาจจะขายหลายรอบเช่นกัน (แล้วแต่ลักษณะการลงทุน) นั่นแปลว่า Cost เราจะไม่คงที่ครับ จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การคิด %Return ที่อิงกับ Cost ที่เป็นตัวเลขล่าสุดนั้น จะไม่ใช่วิธีที่ดีครับ เพราะมันไม่ได้สะท้อน Return จริงๆ ออกมา

อย่างกรณีนี้ หากดูว่า Cost คือ 2,000,000.00 (เพราะเราซื้อ ไว้ รอบละ 1 ล้าน จำนวน 2 รอบ) แล้วดู Current Market Value อยู่ที่ 2,053,508.30 แล้วเห็นกำไร +53,508.30 แล้วนำมาหารด้วย Cost 2 ล้าน แล้วจะได้ +2.675% อันนี้ไม่สะท้อน performance ที่แท้จริง เพราะกำไรตรงนี้ มันมาจาก cost 2 ส่วน คนละช่วงเวลากัน

ยกเว้นว่า เราจะลงทุนในกองนั้นๆ แค่ครั้งเดียว แล้วปล่อยยาวๆ ไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม อันนั้น อาจจะคิด Return จาก Cost ได้ตรงไปตรงมา แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ ใช้วิธีแบบ TWR ก็จะ ได้ค่าเดียวกันอยู่ดี นั่นแปลว่า TWR จะใช้คำนวณได้ในหลายกรณีหลากหลาย adaptive, dynamic กว่านั่นเอง

ซึ่ง กระบวนการคิดต่างๆ เหล่านี้ ผมพัฒนาเข้าไปใน FIN version 4.0 เรียบร้อยแล้ว และมีการคิด Sub Period คือ อิงกับ NAV ทุกวันทำการของกองทุนรวมนั้นๆ (คือคิด Sub Period ทุกวันทำการ) แล้วนำมาคิด TWR จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน โดยที่สามารถ plot ออกมาเป็น chart ต่างๆ ตามรูปด้านบน ซึ่งคุณผู้ใช้ สามารถใช้ได้อย่างสะดวกเลยครับ แค่กรอก transaction ต่างๆ ให้ครบถ้วน เดี๋ยว FIN version 4.0 จะคำนวณออกมาให้หมดครับ

และยังมีอีกหลายความสามารถที่ต่อยอดการคิดจากเรื่องนี้ครับ FIN สามารถคิด Total Return ได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับของแต่ละกองทุนที่บันทึกเข้าไป, ระดับของทั้ง Portfolio หรือ ระดับหลาย Portfolio รวมกัน (กำหนด portfolio ได้ว่าจะให้รวม portfolio ใดบ้าง) ทำให้เราเห็นภาพรวมของ Total Return ได้ครบในหลายๆ มิติ และยังนำมาใช้ในอีกหลายๆ ความสามารถของ FIN version 4.0

อ่านถึงจุดนี้แล้ว คุณสามารถโหลด FIN ได้บน Apple App Store https://apple.co/2HSKplH Version 4.0 นั้นรองรับ iOS, iPad OS 15 ขึ้นไป และรวมถึง macOS ที่ใช้ chip Apple Silicon M1, M2 ด้วยครับ คาดการณ์ว่าน่าจะเริ่ม update FIN version 4.0 ได้ตั้งแต่ วันพุธที่ 6 July 2022 เป็นต้นไป

ลองใช้ FIN ใหม่ดูครับ หากมีความคิดเห็นใดๆ สามารถเขียนมาในหน้า Feedback ใน FIN ได้เลยนะครับ
ขอบคุณครับ

วิธีการใช้ FIN Asset Planning เบื้องต้น

20 April 2021 — FIN Asset Planning เป็นความสามารถใหม่ของ FIN App กองทุนรวม ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของความสามารถใหม่นี้คือ FIN Virtual Portfolio (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดของ Virtual Portfolio กด link) เนื้อหาในบทความนี้จะเน้นที่วิธีใช้ FIN Asset Planning ครับ

เนื้อหา Introduction เกี่ยวกับ FIN Asset Planning อ่านได้จาก Link ด้านล่างนี้

https://bit.ly/fin-virtual-portfolio

FIN Asset Planning สามารถเข้าใช้งานได้จากที่หน้า Fund Rank ที่บริเวณ Shortcut ด้านล่าง จะมีปุ่ม Planning (อยู่ถัดจากปุ่ม Trending) หรือเข้าได้จากหน้า Portfolio กดตรงปุ่มซ้ายบนสุดรูป Chart กดแล้ว เลือก Asset Planning นะครับ

เมื่อเข้าไปแล้ว จะเจอหน้าจอตามภาพด้านล่างนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการสร้าง Virtual Portfolio โดยการกดปุ่ม Create New

จากนั้นก็จะเข้าสู่หน้าจอถัดไป ให้ตั้งชื่อ Virtual Portfolio ครับ (ชื่อเหล่านี้ กลับมาแก้ภายหลังได้หมดนะครับ) อย่างภาพตัวอย่างนี้ผมตั้งชื่อว่า “Global View”

เมื่อตั้งชื่อ Virtual Portfolio เสร็จ ให้กดปุ่ม + เพื่อสร้าง Segment ตามคำแนะนำของหน้าจอ (ปุ่มที่อยู่กลางจอ)

จากตัวอย่างด้านบน ผมตั้งชื่อ Segment Name ชื่อว่า Clean Energy จากนั้น เข้าสู่ขั้นตอน เลือก Asset ที่เราบันทึกไว้แล้วภายใน FIN Portfolio ตามปกติ ซึ่งถ้าคุณผู้ใช้มีหลาย Portfolio ก็จะ มีให้เลือก port และ รายชื่อกองทุนต่างๆ ด้านล่าง

จากภาพตัวอย่างด้านบนคือ มี 4 Ports : Main, TAX, Gold Invest, RETIRE นะครับ ซึ่งตอนนี้ผมกดเลือกที่ Main และ เลือกกอง SCBCLEANA มูลค่า 787,353.41 เข้าไปใน Segment “Clean Energy”

การกดปุ่มติ๊กเลือกด้านหน้าของแต่ละกอง จะเป็นการบอก FIN Virtual Portfolio ว่า Segment “Clean Energy” (ตามภาพตัวอย่าง) นี้ ให้ใช้ข้อมูลจากกองทุนไหน มาประกอบเข้าไปใน Segment นี้ๆ บ้าง ก็กำหนดได้ตามอิสระ ตามความต้องการของผู้ใช้ได้ครับ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกได้จากหลาย FIN Portfolios เพื่อมาประกอบ Segment ต่างๆ ได้

การสร้าง Segment ที่ 2 นั้น ก็ให้ กดปุ่มกลางจอ ด้านขวาๆ (ปุ่มรูปสี่เหลี่ยม ที่มีวงกลมอยู่ตรงกลาง) แล้วเลือก Add New Segment ซึ่งภายในนั้นจะมีเมนูย่อยอีกหลายเมนูอยู่เหมือนกัน ค่อยๆ ลองใช้ภายหลังได้ครับ

ภาพด้านบนผมสร้าง Segment ที่ 2 ชื่อ “Healthcare” และ ก็ทำการ เลือก กองทุนใส่เข้าไปใน Segment นี้ตามวิธีเดิม

ถึงจุดนี้ เราจะเห็นแล้วว่า Healthcare นั้น มีสัดส่วน 78.53% เมื่อเทียบกับ Total Asset Current Value ทั้งหมดที่เรากำลังนิยามไว้ใน Virtual Portfolio นี้นะครับ

ในแต่ละ Segment นั้น เราเลือกประเภทได้นะครับ ตรง Asset Type ว่า Segment นั้นจะใช้ข้อมูลจาก FIN Portfolio ซึ่งจัดเป็น Tracking Asset ตามปกติ หรือว่า เราอยากให้ Segment นี้เป็น Asset อื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจาก FIN Portfolio ก็ได้เช่นกัน โดยการกดเลือก Non-Tracking Asset ตามภาพด้านบน

เคสตัวอย่างภาพด้านบนนั้น ผมทดลองสร้าง Segment ที่ชื่อ Crypto เพื่อจะบันทึกว่า ผมมีมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนใน Crypto เท่าไรนะฮะ ลองใส่มูลค่า และ เลือกประเภท ก็จะได้ตามภาพด้านล่าง ทดลองใส่ Bitcoin ที่ 1 ล้านบาทครับ Segment นี้

ด้วยวิธีการนี้เอง ที่จะทำให้เราเห็น Total Asset ของเราได้ครบทุกอย่าง ในภาพรวม เลยฮะ 🙂 ทั้งๆ ที่เป็น Asset ที่ FIN Portfolios มีข้อมูลอยู่แล้ว และ Asset ที่อยู่นอกเหนือจากการ track ของ FIN

เมื่อตั้งค่า Segment ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว หากต้องการ Save เพื่อบันทึก ก็ให้กดปุ่ม Done (ปุ่มขวาบนสุด) เพื่อบันทึกให้เรียบร้อยนะครับ เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ Virtual Portfolio ตามที่เราต้องการ ซึ่งจุดนี้ผู้ใช้มีอิสระในการ จัด Segment ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ เมื่อเสร็จแล้วก็จะกลับมาหน้า หลัก ตามภาพด้านล่างนี้

แต่ถ้ากด Back (ปุ่มซ้ายบนสุด) โดยไม่กด Done มันจะเป็นการ back ทันที ไม่มีการ save ใดๆ นะครับ

หากต้องการเข้าสู่หน้า Edit เพื่อแก้ไข Segment หรือ การเชื่อมโยง Asset ใดๆ ของ Virtual Portfolio ที่สร้างไปแล้ว ให้กดที่ปุ่ม วงกลม ที่มีจุดสามจุด อยู่ในวงกลมนะครับ (…) แล้วเลือก Edit ก็จะเข้าสู่หน้า เหมือนตอนสร้าง Virtual Portfolio อีกครั้ง

จุดสำคัญคือ หากต้องการแก้ที่ Segment ใดนั้น ให้เลือก Segment (ใต้ Pie Chart) ก่อนทุกครั้งนะครับ จากนั้น ค่อยปรับแก้ค่าต่างๆ ที่ต้องการที่อยู่ภายใน Segment นั้นๆ อีกที ตามรูปด้านล่างนี้ คือ ผมกำลังเลือกของ Healthcare นะครับ จะขึ้นเป็นแทบสีส้มเข้ม (ในเคสนี้)

สุดท้ายจะมีเรื่องของ Note เพื่อจดแผนการลงทุน หรือ แผนการณ์ต่างๆ ไอเดียต่างๆ ของแต่ละ Virtual Portfolio สามารถกดได้ที่ปุ่ม ข้างๆ ปุ่ม Done (หรือปุ่มข้างๆ ปุ่ม Close) ที่อยู่ด้านขวาบน ของหน้าจอในกลุ่ม Asset Planning ครับ ก็จะเข้าถึง Note เดียวกันจากทุกหน้าจอ เพื่อให้จดแผนได้อย่างสะดวกตลอดทุกหน้าจอนะครับ ณ เวลานี้ยังคงจำกัดความยาวของ Note ที่ 5000 ตัวอักษร

โดยรวมการใช้งานก็จะประมาณนี้ หากมีคำถามใดๆ สามารถติดต่อมาได้ตามช่องทางปกตินะครับ ทั้ง Email และ Facebook สามารถดูช่องทางติดต่อได้ที่ FIN > หน้า More > Contact FIN

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FIN Asset Planning
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FIN Virtual Portfolio

FIN Virtual Portfolio

20 April 2021 — FIN มีแนวคิดของ Portfolio แบบใหม่ ที่ใช้งานร่วมกับ Portfolio แบบปกติ ซึ่งแนวคิดใหม่นั้น ผมเรียกว่า Virtual Portfolio เนื้อหาภายในบทความนี้ จะอธิบายถึงความสามารถ คุณลักษณะของ FIN Virtual Portfolio แบบกระชับครับ

ย้อนกลับไปในปี 2015 ที่ FIN App ขึ้น Apple App Store version แรกสุดนั้น FIN รองรับ 1 portfolio ที่ให้ผู้ใช้สามารถบันทึก transaction ต่างๆ ของกองทุนต่างๆ ของตนเอง เข้าไปภายใน FIN Portfolio เพื่อที่จะเห็น ภาพรวมทั้งหมดของตนเองได้ จากนั้น ก็เริ่มมีความต้องการ ที่เฉพาะมากขึ้น ที่ต้องการให้ FIN รองรับมากกว่า 1 portfolio ผมเลยพัฒนาออกมาให้รองรับการบันทึก transaction มากกว่า 1 portfolio เรียกว่า Multiple Portfolios

และแนวคิดใหม่ล่าสุดที่ break ข้อจำกัดเดิม ก็ออกมากับ FIN version 3.61 นั่นคือ FIN Virtual Portfolio นั่นเอง

วิธีอธิบายเรื่องนี้ได้ง่ายสุด น่าจะเป็นภาพ diagram แนวคิดนะครับ ภาพด้านล่างคือ FIN Multiple Portfolios ครับ

หากเคยใช้ FIN Multiple Portfolios อยู่แล้ว ก็จะรู้ลักษณะการทำงานอยู่แล้วครับ ว่า แต่ละ port นั้นแยกอิสระต่อกัน การบันทึกกองทุนเข้า port ใด port หนึ่งจะไม่มี impact ต่ออีก port นึง นี่คือคุณลักษณะปัจจุบันของ FIN Multiple Portfolios

FIN Virtual Portfolio จะเป็นไปตามภาพด้านล่างนี้

นั่นคือ เราสามารถสร้าง Virtual Portfolio โดย อิงข้อมูลจาก FIN Portfolio แบบปกติได้ โดยไม่ต้องกรอก transaction ใดๆ ใหม่ๆ แค่เชื่อมโยงเข้าไปใน Virtual Portfolio ตามที่ต้องการ ซึ่งจุดนี้ คุณผู้ใช้มีอิสรภาพสูงสุด ในการเลือกสร้าง Virtual Portfolio ของตนเอง ครับ ว่าจะให้นำ Asset จาก Portfolio ใด มาประกอบเข้าไปบ้าง

FIN Virtual Portfolio จะมี การแบ่งกลุ่มภายในด้วยแนวคิดของ Segment ครับ ซึ่งคุณผู้ใช้ก็กำหนดเองได้หมดเช่นกัน ว่าจะแบ่งเป็นกี่ Segment และ แต่ละ Segment จะนำ Asset จาก FIN Multiple Portfolios ใดบ้าง มาประกอบ สร้างสรรค์ได้ตามที่ตนเองต้องการ ซึ่งการเลือก Assets ต่างๆ ที่บันทึกไว้อยู่แล้วมาประกอบนั้น ผมจะขอเรียกว่า Tracking Asset นะครับ คือ Asset ที่มีมูลค่าปรับเปลี่ยนรายวัน ตามค่า NAV ของกองทุน (ของ Asset นั้นๆ) ค่าเหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงและ auto-update โดยอัตโนมัติทุกวันทำการ ตามปกติ

และนอกเหนือไปจากนั้น FIN Virtual Portfolio ยังรองรับ Non-Tracking Asset ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือ ผู้ใช้สามารถสร้าง Non-Tracking Asset ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบสินทรัพย์อื่นๆ ที่ FIN ไม่ได้รองรับ การ track มูลค่าต่างๆ ให้อัตโนมัติครับ เช่น เงินสด, หุ้นไทย, หุ้นต่างประเทศ, Crypto, Bond หรือ อื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน แต่ชื่อ Non-Tracking Asset อันนี้ก็ชัดเจนในตัวนะครับ ว่า คุณผู้ใช้จะต้อง ใส่ค่า มูลค่าทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้ ด้วยตนเอง ระบบจะไม่ได้ Tracking ให้อัตโนมัติ ณ เวลานี้ (ในอนาคตไม่แน่ :D)

แนวคิดของ FIN Virtual Portfolio ในขั้นต้นจะถูกนำมาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักใน FIN Version 3.61 ล่าสุด ที่มี Feature Asset Planning ครับ โดยผู้ใช้สามารถสร้าง Virtual Portfolio ได้หลากหลายตามความต้องการ เพื่อให้เห็นมุมมองของ Asset Allocation และ Performance Impact ภายใน FIN Asset Planning feature ใหม่ นั่นเอง ส่วนในอนาคต FIN Virtual Portfolio ก็จะถูกนำไปใช้ในจุดอื่นๆ ต่อไปภายใน FIN ด้วยเช่นกัน รอติดตามกันต่อไปในอนาคต

หากมีคำถามใดๆ สามารถเขียนมาได้ทาง หน้า Feedback ใน FIN App หรือไม่ก็ทางอีเมล หรือทาง Facebook (กดเข้าไปใน FIN > More > Contact FIN ครับ)

Download FIN App ได้ที่ : https://apple.co/2HSKplH

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ความสามารถใหม่ FIN Asset Planning
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการใช้ FIN Asset Planning

รู้จัก Fund Compare Feature ที่สำคัญของ FIN App

อย่างที่ทราบกันดีครับว่า FIN App มีข้อมูลกองทุนอยู่จำนวนมาก หลากหลายมิติ และ หลากหลายประเภทข้อมูลครับ Feature “Fund Compare” จะเป็นความสามารถที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ เพื่อให้ทำการเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านั้นได้ ง่าย สะดวก และ รวดเร็ว ในบทความนี้จะนำภาพตัวอย่าง และ วิธีใช้งานของความสามารถนี้มาแชร์ให้เห็นกันครับผม

หากผู้ใช้ upgrade FIN เป็น version 3.8 ล่าสุด  จะเห็นหน้าจอของหน้า Fund Rank ตามรูปด้านล่าง ซึ่งจะมีปุ่มสีส้มอยู่ที่มุมด้านขวาด้านล่าง  ปุ่มนี้เป็นความสามารถใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา เพื่อช่วยทำเรื่อง Fund Compare ให้สะดวกขึ้นอย่างมาก

IMG_9750.PNG

เมื่อกดปุ่มสีส้มแล้ว ผู้ใช้สามารถที่จะเลือก กองทุนใดๆ ก็ได้ ที่อยู่ในหน้า Fund Rank หน้านี้ โดยสามารถเลือก ประเภท และ ช่วงเวลาย้อนหลังต่างๆ ได้หมดนะครับ เลือกได้อย่างเต็มรูปแบบและอิสระ และ เมื่อพอใจแล้ว ก็ที่ปุ่มสีส้มนี้ จะนับจำนวนกองทุนที่เลือกไว้ครับ (ภาพตัวอย่างนี้คือเลือกไป 6 กองทุน) กดเข้าไปอีกรอบจะขึ้นเมนูถามเพิ่มเติม

IMG_9738.PNG

เมื่อเจอขึ้นถามก็จะมี 3 เมนูย่อยครับ เมนูบนสุดคือ เลือกเพื่อสั่งให้เปิด Fund Compare ส่วนเมนูถัดมาคือให้ Reset การเลือกกองทุนก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเลือกใหม่ หรือ ไม่เลือกแล้วก็ตาม (ล้างตระกร้ากองทุนที่เลือกไว้)  และเมนูสุดท้ายคือ ปิดหน้าจอนี้ไปก่อน เพราะยังอยากเลือกกองทุนอื่นๆ เพิ่มเติม

IMG_9739.PNG

เมื่อเข้าหน้า Fund Compare ก็จะมีหน้าจอตัวอย่างตามภาพด้านล่างนี้ครับ  โดยความสามารถ Fund Compare นั้น สามารถ เปรียบเทียบข้อมูลกองทุนต่างๆ ได้ใน 3 โหมดใหญ่ๆ

  1. โหมดที่ 1 คือ เทียบในเชิง Fund Performance ในช่วงเวลาต่างๆ ย้อนหลังครับ เช่นที่ระยะ 5 ปี, 3 ปี, 1 ปี, 6 เดือน หรืออื่นๆ ตามที่มีข้อมูล
  2. โหมดที่ 2 คือ เทียบแบบ Shot-by-Shot เลยครับ เป็นการสมมติว่า ถ้าเราเริ่มลงทุนกองที่เราต้องการเปรียบเทียบพร้อมกัน ในวันที่เริ่มต้น (ซึ่งเรากำหนดได้)  จนถึง วันสิ้นสุด (ซึ่งเราก็กำหนดได้เช่นกัน) ว่ากองไหน มีการวิ่งขึ้นลงของ Value อย่างไรบ้าง
  3. โหมดที่ 3 คือ เทียบในรูปแบบตารางครับ โดยนำค่าข้อมูลต่างๆ ของแต่ละกอง มาเทียบกันในตาราง 2 มิติ

วิธีการสับโหมดการเปรียบเทียบนี้ หากดูจากรูปด้านล่างนี้  ที่ด้านบนมุมขวาของหน้าจอ จะเห็นรูปลูกศร ซ้ายขวา นะครับ กดได้เลยฮะ จะเป็นการสับโหมดการเปรียบเทียบไปใน 3 โหมด  หรือ กดปุ่มด้านบน ตรงกลาง ก็ได้เช่นกัน  (ปุ่มที่เขียนว่า Compare: Period ตามรูปด้านล่าง)  ก็จะขึ้นมาให้เลือกเลยฮะ ว่าจะเทียบในโหมดใด

IMG_9740.PNG

ซึ่ง ด้านล่างของหน้าจอนี้ เราสามารถเลือกกองทุนที่เราต้องการ เปรียบเทียบได้ครับ ว่าจะนำกองใด มาเทียบบ้าง ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดทุกกองเทียบพร้อมกันเวลาเดียวกันนะครับ เพราะข้อมูลคงจะแสดงผลมากเลยทีเดียว ลองดูภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ จะเป็นการเปรียบเทียบ 4 กอง ได้แก่ UOBLTF, MIF-LTF, JB25 LTF และ ABLTF

IMG_9741.PNG

ถัดมาครับ ลองเปลี่ยนเป็นโหมดการเปรียบเทียบแบบ  Shot by Shot โดยสมมติว่าเราลงทุนทั้ง 4 กองนี้พร้อมกัน วันที่ 21 June 2018 ยาวไปจนถึงวันนี้ (19 Sep 2018) นะครับ  วันที่นี่เราสามารถใช้นิ้วแต เพื่อปรับเปลี่ยนวันที่ได้อย่างอิสระ  การเปรียบเทียบในโหมดนี้เหมือนนำกองทุนทั้ง 4 กองมาวิ่งแข่งกัน ณ จุดเริ่มต้นเดียวกันครับ โดยจากภาพตัวอย่างนี้ เราจะเห็นคร่าวๆ แล้วว่า  กองสีม่วง กับ สีฟ้า นี่วิ่งดีกว่า อีก 2 สีที่เหลือ  ในช่วงเวลาที่เราลองจำลองการแข่งขันตรงนี้นะครับ โดยในแกน Y นั้นจะคิดเป็น %Profit (หรือ %Loss) โดยรวมเรื่องของ NAV Change + Dividend เข้าไปหมดแล้ว (ถ้ากองไหนมี Dividend)

IMG_9742.PNG

ซึ่งจุดเริ่มต้น (Begin) และ จุดสิ้นสุด (End) ของการเปรียบเทียบนั้นค่อนข้างสำคัญนะครับ เพราะมันคือ ช่วงเวลาย้อนหลังที่เราต้องการพิจารณานั่นเอง  อย่างภาพด้านบนนั้นผมจะเทียบแค่ 3 เดือนย้อนหลังครับ แต่ภาพด้านล่างนี้ ผมเทียบที่ 1 ปีย้อนหลัง จะเห็นว่า กราฟที่ได้ก็คนละแบบเช่นกัน เพราะจุดเริ่มต้นมันไม่เท่ากัน ต้นทุนก็แตกต่างกันครับ  เราเลยต้องเลือกเวลาพิจารณาให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่เราต้องการเทียบ

IMG_9744.PNG

ส่วนโหมดการเปรียบเทียบในรูปแบบตารางนั้น จะมีตัวอย่างหน้าจอตามรูปด้านล่างนี้ครับ เป็นตาราง 2 มิติที่จะ Pin ชื่อกองทุนไว้ด้านบน และ ข้อมูลที่ต้องการเปรียบเทียบไว้ด้านซ้ายนะครับ เราสามารถ scroll ไปได้ในทั้ง 2 ทิศทาง (ต้องลองใช้ดูครับ)

IMG_9745.PNG

ถ้า scroll ลงมาด้านล่าง จะเห็นการเปรียบเทียบด้าน Absolute Return และ Max Drawdown (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Drawdown) รวมถึงสัดส่วนระหว่าง Absolute Return และ Max Drawdown  ด้วยเช่นกัน (ที่เขียนเป็นตัวอักษรสีเหลืองว่า Return/MDD @ Timeframe ต่างๆ)  ซึ่งจุดนี้ ขอย้ำนะครับ ว่า ผมสังเคราะห์ field ข้อมูลของการนำ Absolute Return มาหารกับ Max Drawdown (เอาค่า Max Drawdown แบบที่ไม่ใช่ค่าติดลบมาใช้นะครับ) ตรงนี้ เป็นแบบ simple math calculation เพื่ออำนวยความสะดวกในการเทียบเท่านั้นนะครับ มันจะไม่ใช่ Ratio ในกลุ่มที่เรียกว่า Risk Adjusted Return  ดังนั้นแล้ว การนำข้อมูลนี้ไปใช้ตัดสินใจใดๆ นั้น ผมยังคงขอย้ำว่า ให้ตรวจสอบจากหลายๆ แหล่งข้อมูล ก่อนการตัดสินใจลงทุนใดๆ ผมสร้าง FIN มาเพื่อเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกเท่านั้น เรื่องความถูกต้องของข้อมูลใดๆ นั้น นักลงทุนยังคงต้อง พิจารณาไตร่ตรองอย่างระมัดระวังด้วยตนเอง ครับ ผมไม่สามารถรับประกันความถูกต้องของข้อมูลใดๆ ได้ นะฮะ ตามที่เขียนไว้ (อ้างอิงตาม FIN App Term of Service)

IMG_9746.PNG

สุดท้ายครับ หน้า Fund Compare ตรงนี้ ผมมี Tip แนะนำอีกนิดนึงคือ  กรณีที่ต้องการเปิดดูหน้า Fund Profile ของแต่ละกองทุนตรงนี้  ผู้ใช้สามารถใช้นิ้ว กดจิ้มค้างไว้ (หรือที่เรียกว่า Long press gesture) ตรงชื่อ กองทุนครับ  ทั้งชื่อที่หัวตารางด้านบน  หรือ ชื่อด้านล่าง ได้หมดนะฮะ  แล้ว FIN จะเปิดหน้า Fund Profile ขึ้นมาแสดงผลให้ได้ครับ

หวังว่าความสามารถ Fund Compare นี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้นะครับ โดยความสามารถนี้อยู่ในส่วนหนึ่งของ FIN Premium Service ด้วยเช่นกัน  ถามว่าถ้าไม่มี Feature นี้ยังสามารถเปรียบเทียบได้หรือไม่  ก็ได้ครับ แต่ว่าคงต้องหากระดาษมาจดนะฮะ  ซึ่งก็ไม่สะดวกเท่าไรนะครับและล่าช้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วผมเลยใช้เวลาสร้างความสามารถ Fund Compare ในหลายมิติตรงนี้ขึ้นมาเพื่อ ลดเวลา ทำให้มันสะดวกต่อผู้ใช้ และน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ครับ 🙂

 

 

 

 

ทำความรู้จักค่า Drawdown และการนำมาประเมินความเสี่ยงของการลงทุน

ตั้งแต่ Fund Factsheet ของกองทุนรวมแบบใหม่ถูกนำมาใช้  ภายในนั้นจะมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ข้อมูลหนึ่ง ที่เรียกว่า Maximum Drawdown ซึ่งภาษาไทยจะเรียกว่า “ผลขาดทุนสูงสุด” ในรอบระยะเวลาที่สังเกตที่ผ่านมา ค่านี้จะแสดงผลเป็นค่าติดลบเสมอครับ โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์  ค่านี้จะเอาไว้ใช้ประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่เรากำลังพิจารณาลงทุนครับ   ในบทความนี้จะอธิบายว่า ทำไมค่า Maximum DrawDown นี้ มันถึงดูเข้าใจง่ายกว่า ค่าบ่งชี้ความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่เราลงทุนค่าอื่นๆ เช่น SD (Standard Deviation) หรืออื่นๆ (คือผม มองว่ามันเข้าใจง่ายนะครับ คนอื่นๆ อาจจะมองตรงข้ามก็ได้นะ 555+)

เริ่มต้นชี้ให้เห็นเลยครับ ว่าค่า Drawdown นี้มันนิยามเป็นอย่างไร ดูจากภาพ chart ด้านล่างนี้จะง่ายสุดนะครับ ปกติ มูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ จะเปลี่ยนไปตามเวลา  แกน X คือ แกนของเวลา  แกน Y คือ แกนของ Net Asset Value ของสินทรัพย์นั้นๆ  จุดที่เกิด Drawdown คือ จุดที่อยู่ในภาพ สีแดงเข้มๆ ครับ

drawdown
ภาพจาก http://cdar.berkeley.edu/researcharea/drawdown-risk/

นิยามของ Drawdown คือ  ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นที่เรากำลังสังเกตดูย้อนหลังอยู่นั้น ราคาของสินทรัพย์นั้นๆ มีการปรับตัวลดลงต่ำสุด จากจุดสูงสุดที่ผ่านมา เท่าไรบ้างโดยจะคิดเป็นเปอร์เซ็นนะครับ  โดยสูตรการคำนวณคือ  เอา ( Valley Value – Peak Value ) หารด้วย Peak Value อีกที จากนั้นคูณด้วย 100 เพื่อให้ได้ค่าเปอร์เซ็นต์ออกมา สูตรนี้ยังไงก็ได้ค่า ติดลบ นะครับ

( (Valley Value – Peak Value) / Peak Value ) * 100.0

ถ้ามองข้อมูลอดีตย้อนหลัง 1 ปี , 3 ปี หรือ 5 ปี นั้น เราจะเห็นจุด Drawdown มากมายแน่นอนครับ ยกเว้นสินทรัพย์ประเภทที่มีแต่มูลค่าขึ้นตลอดนะครับ เช่นกลุ่ม Money Market Fund นะครับ อันนั้นน่าจะขึ้นตลอด แทบจะไม่มีค่า Drawdown ให้คำนวณ  ทีนี้เมื่อมีจุด Drawdown จำนวนมาก  จุดที่เราสนใจจริงๆ คือ  ในอดีตของสินทรัพย์ตัวนี้ มีจุด Drawdown สูงสุดอยู่ที่เท่าไร นั่นเอง หรือที่เรียกว่า Maximum Drawdown  ถ้าดูจาก Chart ด้านบน ก็จะเห็นฮะว่า  small drawdown นั้น มีขนาดเล็กกว่า  large drawdown นั่นเอง  ซึ่งจากรูปด้านบนนี้  large drawdown ตรงนั้นคือค่า Maximum Drawdown นั่นเอง

นั่นแปลว่า  ถ้าเรามองข้อมูลอดีตของกองทุนหรือหุ้นตัวนี้ๆ แล้ว  เราเห็นช่วงที่ขาดทุนสูงสุดกี่เปอร์เซ็นต์ นั้นจะทำให้เราเข้าใจความเสี่ยงได้ดีขึ้นมากพอสมควร  (เมื่อเทียบกับค่า SD: Standard Deviation) เพราะว่า เราจะเข้าใจค่า % Drawdown นั่นเอง ว่า ถ้ามันมีค่าอยู่ที่ -20%  นั่นแปลว่า  ถ้าเราลงทุนที่จุด Peak จำนวนเงิน 100 บาท และ เจอภาวะ Drawdown ที่ -20%  นั่นแปลว่า ที่จุดต่ำสุด เงินลงทุนเราจะเหลืออยู่ที่ 80 บาท นั่นเอง  คือตัวเลขค่านี้มันจะทำให้เราคำนวณออกมาเป็นจำนวนเงินที่หายไปได้ (Unrealized Loss) ครับ ว่าเราจะรับไหวมั๊ยนะ

ทีนี้ โดยสถิติแล้ว เรามักจะไม่ได้ลงทุนอยู่ที่จุด Peak สักเท่าไรอยู่แล้วครับ (ยกเว้นซวยจริงๆ 5555+ ซึ่งบางคน อาจจะเคยมีประสบการณ์)  นั่นแปลว่า  ค่า Drawdown ถ้าเราลงทุนจริงก็อาจจะน้อยกว่าค่านี้ฮะ  ดังนั้น การเห็นค่า Maximum Drawdown นั้นเหมือนกับการที่เราได้เห็น ค่าขาดทุนสูงสุดในอดีตของสินทรัพย์นี้ๆ แล้ว ว่าอยู่ในระดับที่เรายอมรับได้หรือไม่ นั่นเอง  ก็เลยมักจะถูกนำมาใช้ในการประเมินความเสี่ยง ในการลงทุนครับ

แต่ !!! ทั้งหมดนี้ คือ การวัดค่าข้อมูลที่อยู่ในอดีตนะครับ  อนาคตไม่มีใครสามารถทำนายได้ชัดเจนอยู่แล้ว  อาจจะเกิด Drawdown ที่เป็นค่าที่ใหญ่กว่าค่าเดิมในอดีตก็ได้เช่นกัน ฉะนั้นการติดตามการลงทุนในสินทรัพย์ที่เราลงทุนอยู่นั้น ยังคงเป็นเรื่องสำคัญครับ

ภาพต่อมาครับ ภาพ chart ด้านล่างนี้ จะชี้ให้เห็นค่าอีกค่าหนึ่ง ที่เอาไว้ประเมินร่วมกันครับ  นั่นคือ Recovery Time นั่นเอง ซึ่งมันคือ จำนวนวันทั้งหมดที่ สินทรัพย์นั้นๆ เกิดค่า Drawdown แล้ว ต้องใช้ระยะเวลาทั้งหมดกี่วัน ถึงจะกลับมา เท่าทุน นั่นเอง

maxdur1
ภาพจาก https://www.mutualfundobserver.com/2014/08/recovery-time/

จากที่ผมเห็นข้อมูลมา  ก็มีหลายสินทรัพย์ที่ใช้ระยะเวลา ไม่กี่สิบวัน  บางสินทรัพย์ก็ใช้ระยะเวลา ไม่กี่ปี (หลายร้อยวัน) ถึงจะกลับมาคืนทุนเท่าเดิมนะครับ  ก็จะหลากหลายกันไป แล้วแต่ช่วงจังหวะ

อ่านถึงจุดนี้จะเข้าใจกันแล้วนะครับว่าค่า Drawdown เหล่านี้โดยส่วนตัวผมมองว่า เป็นค่าที่มีประโยชน์แก่การนำมาพิจารณาคัดเลือก สินทรัพย์เพื่อการลงทุนพอสมควรครับโดยมองในมุมของความเสี่ยงนะครับ ว่าเราจะรับ ค่าขาดทุนสูงสุด “ในอดีต” ของสินทรัพย์นั้นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน  รับได้หรือไม่  เพราะเวลาเราเลือกลงทุนใดๆ นั้น แน่นอนว่า เราจะมองทั้ง Reward (ผลตอบแทน) และ Risk (ความเสี่ยง) เสมอๆ  ดังนั้นใน FIN App กองทุนรวม version ใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ (วันนี้วันที่ 16 September 2018 ยังไม่ได้เอาขึ้น App Store นะครับ แต่อีกไม่นานจากนี้จะขึ้นครับ)  จะมีข้อมูลเหล่านี้ให้ดูประกอบการพิจารณาด้วยเช่นกัน  โดยตัวอย่างหน้าจอจะเป็นดังภาพด้านล่างนี้ครับ

IMG_9670
Download ได้ที่  https://bit.ly/fin_app   หรือ   https://apple.co/2xlw3B3

 

วิธีการใช้คือ กดเข้าดู Fund Profile ที่ต้องการ จากนั้นกดที่ Tab ที่เขียนว่า Chart ครับ  (ตามภาพด้านบน) ทีนี้ โดยปกติที่หน้า Chart ก็จะแสดง กราฟของ NAV ตามช่วงระยะเวลาย้อนหลังต่างๆ ตามที่ต้องการ  แต่ใน version ใหม่นี้ จะแสดงค่า Drawdown ได้ด้วย โดยการกดที่ปุ่ม DD ครับ  แล้วจะแสดง NAV พร้อมกับ แถบ Drawdown ต่างๆ ให้เห็นกันชัดๆ เลยครับ ว่า จุด Peak อยู่ที่วันไหน Valley วันไหน และ Recovery วันไหน ใช้ระยะเวลาเท่าไร อย่างชัดเจน

นอกเหนือไปจากนั้นก็จะแสดง Drawdown ย่อยอื่นๆ ด้วยครับ  ตาม List ด้านล่างของหน้าจอเลยฮะ เราก็จะเห็นจุด Drawdown อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Maximum Drawdown ไปด้วยเช่นกันฮะ เรียกได้ว่า มาครบครันเลยทีเดียว สำหรับ version ใหม่ นี้

ปิดท้ายบทความนี้ ด้วยเรื่องของ ค่าความเสี่ยง ตรงนี้อีกรอบนะครับ ว่า การขาดทุนใดๆ ถ้าต้องการแก้ไขกลับคืนให้มาอยู่จุดเดิม ถ้ายิ่งขาดทุนมาก เราต้องลุ้นกันตัวโก่งและเหนื่อยมากในการให้มันกลับมาเท่าทุน ดังนั้นแล้ว  ให้พึงระวังไว้เสมอนะครับ จากภาพด้านล่างนี้จะเห็นชัดครับ ว่ายิ่งปล่อยขาดทุนมาก จะต้องทำกลับคืนมาที่เท่าไรแค่ไหน นะครับ ลองดูฮะ

Losses
ภาพจาก https://cleonalira.co.uk/why-you-should-care-about-losses/

ยกตัวอย่างนะครับ เราลงทุนในสินทรัพย์ตัวหนึ่งที่ 100 บาทนะครับ จากนั้นเราปล่อยขาดทุนไป 50% มูลค่าเราจะเหลืออยู่ที่ 50 บาท ครับ  จากนั้น ณ จุดนั้นเอง การย้อนกลับไปที่ 100 บาท เพื่อให้ได้เท่าทุน   ณ จุดที่เรามีเหลืออยู่ 50 บาทนั้น เราต้องการอีก 50 บาท เพื่อให้กลับไปที่จุดเดิม   นั่นแปลว่า ณ จุดนั้นๆ เราต้องการ ให้มัน บวก (gain) ไปอีก 50 บาท คิดเป็น 100% จากจุด 50 บาท นั่นเอง   ซึ่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ที่จะทำให้เกิดแบบนั้นได้บ่อยๆ  ดังนั้นปิดท้าย คือ  ให้ระวังเรื่อง Risk Loss ดีๆ กันนะครับ นักลงทุน  เราควรจะรู้จุดหยุดของเราเหมือนกันฮะ